สำหรับนักท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่นแล้ว การเดินทางที่รวดเร็วคือรถไฟชินคันเซ็น (Shinkansen) นั่นเองค่ะ ซึ่งเรียกได้ว่าสะดวกและเร็วกว่าเครื่องบินอีกนะคะ เนื่องจากการเดินทางโดยเครื่องบินนั้นมีขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อนกว่า ถ้ารวมเวลาตรวจเอกสาร ตรวจสัมภาระหลายอย่าง ก็ต้องเสียเวลาก่อนเดินทางหลายชั่วโมง ทำให้การเดินทางโดยรถไฟชินคันเซ็นเป็นที่นิยมเพราะประหยัดเวลามากกว่า
แต่ว่าความสะดวกสบายนี้ก็มีราคาตั๋วที่แพงตามมาด้วย หากเดินทางด้วยรถไฟชินคันเซ็นในระยะสั้น ค่าโดยสารก็อยู่ที่ประมาณ 3,000 เยน ซึ่งถ้านั่งไกล ๆ ข้ามภูมิภาค ราคาตั๋วก็พุ่งไป 10,000 จนถึง 20,000 กว่าเยนเลยทีเดียว ซึ่งบางครั้งอาจจะแพงกว่าการขึ้นเครื่องบินอีกค่ะ
ประวัติความเป็นมาของรถไฟชินคันเซ็น

ชินคันเซ็น (Shinkansen) [新幹線] แปลได้ว่า “เส้นทางไกลสายใหม่” เป็นพาหนะที่เรารู้จักในฐานะรถไฟความเร็วสูงของประเทศญี่ปุ่น โดยมีประวัติยาวนานกว่า 50 ปีแล้ว เริ่มเปิดตัวใช้งานเป็นครั้งแรกด้วยเส้นทางโตเกียว – โอซาก้า (Tokyo – Osaka) เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1964 ซึ่งเป็นปีที่มีการแข่งขันโอลิมปิกที่โตเกียว จากนั้นเส้นทางรถไฟก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนปัจจุบันเชื่อมหัวเมืองใหญ่ของญี่ปุ่นเกือบทุกเมือง ทำให้เดินทางได้ทั่วประเทศ
รูปร่างของรถไฟชินคันเซ็นมีความแปลกตา ด้วยลักษณะหัวแบบกระสุน จึงมีอีกชื่อว่า “รถไฟหัวกระสุน (Bullet Train)” นั่นเองค่ะ ส่วนระยะเวลาที่ใช้ในการเดินทาง เส้นทางโตเกียว – โอซาก้า แต่เดิมใช้เวลา 4 ชั่วโมงครึ่ง แต่ปัจจุบันใช้เวลาลดลงเหลือ 2 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น ซึ่งเส้นทางรถไฟชินคันเซ็นสายอื่น ๆ ก็ใช้เวลาการเดินทางที่ลดลงเช่นเดียวกันค่ะ
เส้นทางชินคันเซ็นทั่วประเทศญี่ปุ่น
1. ฮอกไกโด ชินคันเซ็น (Hokkaido Shinkansen)
ดำเนินการโดยบริษัท JR HOKKAIDO

ฮอกไกโด ชินคันเซ็น (Hokkaido Shinkansen) [北海道新幹線] เป็นเส้นทางที่เชื่อมระหว่างเกาะฮอนชู (Honshu) และเกาะฮอกไกโด (Hokkaido) เปิดให้บริการเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 2016 การออกแบบของรถไฟนั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจากช่องแคบสึการุ (Tsugaru) และอ่าวฮาโกดาเตะ (Hakodate) ที่อยู่ระหว่างทั้ง 2 เกาะ ทำให้โซน Gran Class (ที่นั่งแบบ First-class) พื้นพรมมีสีฟ้าสด ส่วนเบาะที่นั่งมีสีนวล ส่วนโซนอื่น ๆ จะมีโทนอบอุ่นสีน้ำตาล
ปัจจุบัน ฮอกไกโด ชินคันเซ็นเปิดให้บริการช่วงระหว่างสถานี Shin-Aomori ในจังหวัดอาโอโมริ (Aomori) และ สถานี Shin-Hakodate-Hokuto ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของภูมิภาคฮอกไกโด (Hokkaido) โดยสามารถใช้บริการได้ตั้งแต่สถานี Tokyo ในจังหวัดโตเกียว ผ่านเส้นทางโทโฮคุ ชินคันเซ็น (Tohoku Shinkansen) และวิ่งยาวมาจนถึงฮอกไกโดได้เลย นอกจากนี้เส้นทางฮอกไกโด ชินคันเซ็นยังมีกำหนดการที่จะเชื่อมไปยังเมืองซัปโปโร (Sapporo) ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2031
ตัวอย่างเส้นทาง
- สถานี Shin-Aomori ↔ Shin-Hakodate-Hokuto
- ใช้เวลาเดินทางประมาณ 60 – 65 นาที
- ค่าโดยสาร + จองที่นั่ง 7,260 เยน
- สถานี Tokyo ↔ Shin-Hakodate-Hokuto
- ใช้เวลาเดินทางประมาณ 240 – 255 นาที
- ค่าโดยสาร + จองที่นั่ง 22,690 เยน
2. โทโฮคุ ชินคันเซ็น (Tohoku Shinkansen)
ดำเนินการโดยบริษัท JR EAST

โทโฮคุ ชินคันเซ็น (Tohoku Shinkansen) [東北新幹線] เป็นเส้นทางที่เชื่อมระหว่างจังหวัดโตเกียว (Tokyo) ในภูมิภาคคันโต (Kanto) ขึ้นไปทางตะวันออกเฉียงเหนือยังภูมิภาคโทโฮคุ (Tohoku) เส้นทางนี้มีรถไฟชินคันเซ็นที่เพิ่งอัพเกรดใหม่เมื่อปี ค.ศ. 2011 ชื่อขบวนว่า Hayabusa ที่โดดเด่นด้วยสีเขียวสด รถไฟขบวนนี้ขึ้นชื่อว่ามีความเร็วที่สุดในญี่ปุ่น ด้วยความเร็ว 320 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเมื่อปี ค.ศ. 2016 ได้เชื่อมกับเส้นทางฮอกไกโด ชินคันเซ็น (Hokkaido Shinkansen) วิ่งยาวไปจนถึงสถานี Shin-Hakodate-Hokuto
นอกจากนี้ก็ยังมีขบวน Hayate และ Yamabiko ที่วิ่งระหว่างสถานี Tokyo และสถานี Morioka ในจังหวัดอิวาเตะ (Iwate) หรือ สถานี Shin-Aomori ในจังหวัดอาโอโมริ (Aomori) และขบวน Nasuno ที่วิ่งมาจนถึงสถานี Koriyama ในจังหวัดฟุคุชิมะ (Fukushima) อีกด้วย
ตัวอย่างเส้นทาง
- สถานี Tokyo ↔ Shin-Aomori
- ใช้เวลาเดินทางประมาณ 180 – 200 นาที
- ค่าโดยสาร + จองที่นั่ง 17,350 เยน
- สถานี Tokyo ↔ Morioka
- ใช้เวลาเดินทางประมาณ 130 – 190 นาที
- ค่าโดยสาร + จองที่นั่ง 14,740 เยน
- สถานี Tokyo ↔ Sendai
- ใช้เวลาเดินทางประมาณ 90 – 120 นาที
- ค่าโดยสาร + จองที่นั่ง 11,200 เยน
- สถานี Tokyo ↔ Fukushima
- ใช้เวลาเดินทางประมาณ 90 – 120 นาที
- ค่าโดยสาร + จองที่นั่ง 8,950 เยน
- สถานี Tokyo ↔ Koriyama
- ใช้เวลาเดินทางประมาณ 80 – 100 นาที
- ค่าโดยสาร + จองที่นั่ง 8,200 เยน
3. อาคิตะ ชินคันเซ็น (Akita Shinkansen)
ดำเนินการโดยบริษัท JR EAST

เส้นทางอาคิตะ ชินคันเซ็น (Akita Shinkansen) [秋田新幹線] เชื่อมระหว่างสถานี Morioka ในจังหวัดอิวาเตะ (Iwate) และสถานี Akita ในจังหวัดอาคิตะ (Akita) โดยเริ่มให้บริการตั้งแต่โตเกียว จากสถานี Tokyo ผ่านเส้นทางเดินรถโทโฮคุ ชินคันเซ็น (Tohoku Shinkansen) มาจนถึงสถานี Morioka
ขบวนของอาคิตะ ชินคันเซ็นนั้นมีชื่อว่า Komachi ซึ่งมีสีแดง และจะพ่วงกับขบวน Hayabusa ซึ่งมีสีเขียวของโทโฮคุ ชินคันเซ็นแล้ววิ่งมาด้วยกัน เนื่องจากใช้เส้นทางเดียวกัน ก่อนจะแยกกันที่สถานี Morioka เพื่อมุ่งหน้าไปยังสถานี Akita โดยในเส้นทางนี้ ขบวน Komachi สามารถวิ่งได้ความเร็วสูงสุดที่ 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเนื่องจากข้อจำกัดของทางรถไฟ จึงถือเป็นมินิชินคันเซ็น
ตัวอย่างเส้นทาง
- สถานี Morioka ↔ Akita
- ใช้เวลาเดินทางประมาณ 90 – 100 นาที
- ค่าโดยสาร + จองที่นั่ง 4,620 เยน
- สถานี Tokyo ↔ Akita
- ใช้เวลาเดินทางประมาณ 225 – 230 นาที
- ค่าโดยสาร + จองที่นั่ง 17,800 เยน
4. ยามากาตะ ชินคันเซ็น (Yamagata Shinkansen)
ดำเนินการโดยบริษัท JR EAST

เส้นทางยามากาตะ ชินคันเซ็น (Yamagata Shinkansen) [山形新幹線] อยู่ระหว่างสถานี Fukushima ในจังหวัดฟุคุชิมะ (Fukushima) และสถานี Shinjo ในจังหวัดยามากาตะ (Yamagata) โดยเริ่มให้บริการตั้งแต่จังหวัดโตเกียวจากสถานี Tokyo ผ่านเส้นทางเดินรถโทโฮคุ ชินคันเซ็น (Tohoku Shinkansen) มาจนถึงสถานี Fukushima
เส้นทางยามากาตะ ชินคันเซ็นนั้นใช้รถไฟขบวน Tsubasa พ่วงมากับขบวน Yamabiko แล้วมาแยกที่สถานี Fukushima เพื่อมายังสถานี Yamagata แล้วไปสุดสายที่สถานี Shinjo ซึ่งขบวน Tsubasa สามารถวิ่งในเส้นทางนี้ด้วยความเร็ว 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จึงเรียกเป็นมินิชินคันเซ็นเช่นกัน
ตัวอย่างเส้นทาง
- สถานี Fukushima ↔ Shinjo
- ใช้เวลาเดินทางประมาณ 110 – 125 นาที
- ค่าโดยสาร + จองที่นั่ง 4,940 เยน
- สถานี Tokyo ↔ Yamagata
- ใช้เวลาเดินทางประมาณ 150 – 170 นาที
- ค่าโดยสาร + จองที่นั่ง 11,340 เยน
- สถานี Tokyo ↔ Shinjo
- ใช้เวลาเดินทางประมาณ 200 – 220 นาที
- ค่าโดยสาร + จองที่นั่ง 12,870 เยน
5. โจเอซึ ชินคันเซ็น (Joetsu Shinkansen)
ดำเนินการโดยบริษัท JR EAST

โจเอซึ ชินคันเซ็น (Joetsu Shinkansen) [上越新幹線] เป็นเส้นทางที่เชื่อมระหว่าง โตเกียว (Tokyo) และจังหวัดนีงาตะ (Niigata) ซึ่งในช่วงฤดูหนาวจะวิ่งไปถึงสถานี Gala Yuzawa ซึ่งเป็นลานสกียอดนิยม เรียกได้ว่าเป็นเส้นทางสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปเล่นสกีก็ว่าได้
ในเส้นทางนี้มีรถไฟชินคันเซ็นขบวน Toki และ MAX Toki ที่ให้บริการระหว่างสถานี Tokyo กับ สถานี Niigata และชินคันเซ็นขบวน Tanigawa และ MAX Tanigawa ที่ให้บริการระหว่างสถานี Tokyo กับ สถานี Echigo-Yuzawa (หรือสถานี Gala Yuzawa) ซึ่งถ้าเป็นขบวน Max ก็เป็นรถไฟที่มีสองชั้น ถ้าเลือกนั่งชั้นบนก็จะเห็นวิวทิวทัศน์ตลอดเส้นทาง
ตัวอย่างเส้นทาง
- สถานี Tokyo ↔ Niigata
- ใช้เวลาเดินทางประมาณ 100 – 140 นาที
- ค่าโดยสาร + จองที่นั่ง 10,570 เยน
- สถานี Tokyo ↔ Echigo-Yuzawa
- ใช้เวลาเดินทางประมาณ 80 – 90 นาที
- ค่าโดยสาร + จองที่นั่ง 6,670 เยน
6. โฮคุริคุ ชินคันเซ็น (Hokuriku Shinkansen)
ดำเนินการโดยบริษัท JR EASTและ JR WEST

เส้นทางโฮคุริคุ ชินคันเซ็น (Hokuriku Shinkansen) [北陸新幹線] เป็นเส้นทางที่เชื่อมระหว่างโตเกียว (Tokyo) และเมืองคานาซาว่า (Kanazawa) ในจังหวัดอิชิคาว่า (Ishikawa) โดยมีรถไฟขบวน Kagayaki ที่เพิ่งเปิดให้บริการไม่นาน วิ่งด้วยความเร็ว 260 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระหว่างสถานี Tokyo และ สถานี Kanazawa
นอกจากนี้ยังมีรถไฟขบวน Hakutaka ที่มีเส้นทางเดียวกันกับ Kagayaki แต่จอดหลายสถานีกว่า จึงใช้เวลาเดินทางนานกว่าค่ะ และขบวน Asama ที่ให้บริการระหว่างสถานี Tokyo และ สถานี Nagano รวมถึงขบวน Tsurugi ที่วิ่งสั้น ๆ ระหว่าง สถานี Kanazawa และ Toyama
ตัวอย่างเส้นทาง
- สถานี Tokyo ↔ Kanazawa
- ใช้เวลาเดินทางประมาณ 150 – 180 นาที
- ค่าโดยสาร + จองที่นั่ง 14,120 เยน
- สถานี Tokyo ↔ Toyama
- ใช้เวลาเดินทางประมาณ 130 – 160 นาที
- ค่าโดยสาร + จองที่นั่ง 12,730 เยน
- สถานี Tokyo ↔ Nagano
- ใช้เวลาเดินทางประมาณ 80 – 95 นาที
- ค่าโดยสาร + จองที่นั่ง 8,200 เยน
- สถานี Tokyo ↔ Karuizawa
- ใช้เวลาเดินทางประมาณ 65 – 85 นาที
- ค่าโดยสาร + จองที่นั่ง 5,910 เยน
7. โทไคโด ชินคันเซ็น (Tokaido Shinkansen)
ดำเนินการโดยบริษัท JR CENTRAL

โทไคโด ชินคันเซ็น (Tokaido Shinkansen) [東海道新幹線] ถือเป็นเส้นทางสำคัญของญี่ปุ่นที่เชื่อมเมืองใหญ่ของ 3 ภูมิภาค ระหว่างสถานี Tokyo ในจังหวัดโตเกียว (Tokyo) ของภูมิภาคคันโต (Kanto) และ สถานี Nagoya ในจังหวัดไอจิ (Aichi) ของภูมิภาคชูบุ (Chubu) และ สถานี Shin-Osaka ในจังหวัดโอซาก้า (Osaka) ของภูมิภาคคันไซ (Kansai) นอกจากนี้ยังวิ่งผ่านภูเขาไฟฟูจิในช่วงจังหวัดชิสึโอกะ (Shizuoka)
ในเส้นทางนี้มีรถไฟขบวน Nozomi ที่วิ่งด้วยความเร็วสูงสุด 285 กิโลเมตรต่อชั่วโมงคอยให้บริการ รองลงมาก็เป็นขบวน Hikari และ Kodama ตามลำดับ ซึ่งจะจอดหลายสถานีมากกว่า นอกจากนี้ขบวน Nozomi ยังวิ่งยาวข้ามลงไปยังสถานี Hakata ในจังหวัดฟุกุโอกะ (Fukuoka) บนเกาะคิวชู (Kyushu) อีกด้วย
ตัวอย่างเส้นทาง
- สถานี Tokyo ↔ Shin-Osaka
- ใช้เวลาเดินทางประมาณ 150 – 235 นาที
- ค่าโดยสาร + จองที่นั่ง 14,450 เยน
- สถานี Tokyo ↔ Kyoto
- ใช้เวลาเดินทางประมาณ 130 – 220 นาที
- ค่าโดยสาร + จองที่นั่ง 13,910 เยน
- สถานี Tokyo ↔ Nagoya
- ใช้เวลาเดินทางประมาณ 100 – 170 นาที
- ค่าโดยสาร + จองที่นั่ง 11,090 เยน
- สถานี Tokyo ↔ Hakata
- ใช้เวลาเดินทางประมาณ 300 นาที
- ค่าโดยสาร + จองที่นั่ง 22,950 เยน
8. ซันโย ชินคันเซ็น (Sanyo Shinkansen)
ดำเนินการโดยบริษัท JR WEST

เส้นทางซันโย ชินคันเซ็น (Sanyo Shinkansen) [山陽新幹線] เริ่มตั้งแต่สถานี Shin-Osaka ในจังหวัดโอซาก้า (Osaka) ของภูมิภาคคันไซ (Kansai) ผ่านสถานี Hiroshima ในจังหวัดฮิโรชิม่า (Hiroshima) ของภูมิภาคชูโกกุ (Chugoku) และข้ามไปยังสถานี Hakata ในจังหวัดฟุกุโอกะ (Fukuoka) ของภูมิภาคคิวชู (Kyushu)
ในเส้นทางระหว่างสถานี Shin-Osaka และ สถานี Hakata ก็ใช้ขบวนรถ Nozomi เช่นเดียวกันกับเส้นทางโทไคโด ชินคันเซ็น (Tokaido Shinkansen) แต่จะวิ่งได้ความเร็วสูงสุดถึง 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นอกจากนี้ก็ยังมีขบวน Kodama, Mizuho และ Sakura ที่ให้บริการในเส้นทางนี้ รวมถึงขบวน Hikari ที่วิ่งระหว่างสถานี Shin-Osaka และ สถานี Okayama
ตัวอย่างเส้นทาง
- สถานี Shin-Osaka ↔ Hakata
- ใช้เวลาเดินทางประมาณ 150 – 200 นาที
- ค่าโดยสาร + จองที่นั่ง 15,310 เยน
- สถานี Shin-Osaka ↔ Hiroshima
- ใช้เวลาเดินทางประมาณ 90 – 150 นาที
- ค่าโดยสาร + จองที่นั่ง 10,440 เยน
- สถานี Shin-Osaka ↔ Okayama
- ใช้เวลาเดินทางประมาณ 50 – 75 นาที
- ค่าโดยสาร + จองที่นั่ง 6,230 เยน
9. คิวชู ชินคันเซ็น (Kyushu Shinkansen)
ดำเนินการโดยบริษัท JR KYUSHU

เส้นทางคิวชู ชินคันเซ็น (Kyushu Shinkansen) [九州新幹線] เป็นเส้นทางที่เชื่อมระหว่างสถานี Hakata ในจังหวัดฟุกุโอกะ (Fukuoka) ที่อยู่ทางตอนเหนือ และ สถานี Kagoshima-Chuo ในจังหวัดคาโกชิมะ (Kagoshima) ที่อยู่ทางตอนใต้ของเกาะคิวชู
ในเส้นทางนี้ใช้ขบวนรถไฟ Mizuho ให้บริการ วิ่งด้วยความเร็วสูงสุด 260 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และจะจอดเพียงสถานีหลักเท่านั้น รองลงมาก็เป็นขบวน Sakura และ Tsubame ตามลำดับ ซึ่งจะจอดหลายสถานีมากกว่า
ตัวอย่างเส้นทาง
- สถานี Hakata ↔ Kagoshima-Chuo
- ใช้เวลาเดินทางประมาณ 75 – 100 นาที
- ค่าโดยสาร + จองที่นั่ง 10,450 เยน
- สถานี Hakata ↔ Kumamoto
- ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 – 50 นาที
- ค่าโดยสาร + จองที่นั่ง 5,130 เยน
- สถานี Shin-Osaka ↔ Hakata
- ใช้เวลาเดินทางประมาณ 150 – 200 นาที
- ค่าโดยสาร + จองที่นั่ง 15,310 เยน
- สถานี Shin-Osaka ↔ Kagoshima-Chuo
- ใช้เวลาเดินทางประมาณ 220 – 255 นาที
- ค่าโดยสาร + จองที่นั่ง 22,210 เยน
JR Pass สำหรับขึ้นชินคันเซ็นไม่อั้น
สำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากขึ้นชินคันเซ็นแบบคุ้ม ๆ เราก็มีตั๋วพิเศษมาแนะนำค่ะ ซึ่งก็คือ JR Pass (ย่อมาจาก Japan Rail Pass) โดยเป็นตั๋วโดยสารรถไฟแบบเหมาจ่าย ใช้ขึ้นรถไฟที่อยู่ในกลุ่มบริษัทรถไฟญี่ปุ่นทั้ง 6 บริษัท ไม่ว่าจะเป็น ชินคันเซ็น รถไฟด่วน รถไฟธรรมดา รวมไปถึงรถบัส และเรือที่อยู่ในเครือ แต่ต้องระวังในการในการขึ้นชินคันเซ็นด้วยนะคะ เพราะไม่สามารถใช้กับขบวน Nozomi และ Mizuho ได้ค่ะ

japanrailpass.net
ราคา JR Pass แบ่งตามระยะเวลาการเดินทางคือ 7 วัน, 14 วัน และ 21 วัน (ที่นั่งชั้นธรรมดาราคาอยู่ที่ประมาณ 29,000 – 59,000 เยน) และถ้าเป็นตั๋วที่นั่งชั้นพิเศษหรือชั้น Green Car ก็จะมีราคาแพงกว่าตั๋วที่นั่งชั้นธรรมดาค่ะ (ที่นั่ง Green Car ราคาอยู่ที่ประมาณ 38,000 – 81,000 เยน) กรณีซื้อ JR Pass นอกประเทศญี่ปุ่น จะได้รับเป็นใบแทนซึ่งต้องนำไปแลกพาสตัวจริงที่ญี่ปุ่นภายใน 3 เดือน โดยการแลกนั้นต้องแลกพร้อมกับพาสปอร์ตที่มีตราประทับหรือสติ๊กเกอร์การพำนักระยะสั้น ซึ่งก็ต้องเป็นนักท่องเที่ยวเท่านั้นจึงจะสามารถใช้งาน JR Pass ได้
ส่วนอายุการใช้งานจะนับตั้งแต่วันที่เปิดใช้พาสครั้งแรกจนถึงวันที่กำหนดค่ะ ต่อให้วันไหนเราไม่ใช้งานก็จะนับรวมด้วยนะคะ เวลาใช้งานนั้นต้องแสดง JR Pass หน้าที่มีวันระบุแสดงให้กับนายสถานีในตอนเข้าออกสถานี และเรายังสามารถนำพาสไปจองที่นั่งบนชินคันเซ็นและรถไฟด่วนพิเศษได้อีกด้วยค่ะ

นอกจาก JR Pass ที่ใช้ได้ทั่วประเทศแล้ว ก็ยังมีพาสแบบย่อยของแต่ละบริษัท เช่น JR EAST Pass ของบริษัท JR EAST ที่ใช้ในแถบโตเกียวและภูมิภาคคันโต, JR Kansai Wide Area Pass ของบริษัท JR WEST ที่ใช้ในแถบโอซาก้าและภูมิภาคคันไซ เป็นต้น ซึ่งพาสย่อย ๆ เหล่านี้ก็จะมีราคาถูกกว่า JR Pass แบบทั่วประเทศ อีกทั้งยังมีกฎเกณฑ์การใช้ที่ต่างกันไป เช่น ใช้งานได้ 5 วัน แบบไม่ติดกันก็ได้ ใช้จองที่นั่งได้แบบจำกัดจำนวนครั้ง เป็นต้น
ส่งท้าย
รู้จักเส้นทางต่าง ๆ ของรถไฟชินคันเซ็นกันไปแล้ว จะเห็นได้ว่าเราสามารถเดินทางทั่วญี่ปุ่นเพียงแค่นั่งชินคันเซ็น แถมยังสะดวกสบายและใช้เวลาไม่นานด้วยค่ะ แม้ว่าค่าโดยสารค่อนข้างสูง แต่ว่านักท่องเที่ยวอย่างเรา ก็สามารถใช้บัตรเหมาอย่าง JR Pass ได้ ซึ่งช่วยประหยัดได้อย่างมาก ใครที่วางแผนจะท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่น ก็ต้องเช็คเส้นทางและราคารถไฟชินคันเซ็นกันให้ดีนะคะ โดยเว็บไซต์ที่แนะนำก็คือ Hyperdia.com เพื่อที่เราจะได้ซึ่งพาสได้ในราคาประหยัดขึ้นและมีเวลาเที่ยวจุใจไม่ผิดแผนที่วางไว้ค่ะ
บทความเกี่ยวกับรถไฟในญี่ปุ่น
แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในญี่ปุ่น
- สถานที่ท่องเที่ยวในโตเกียว (Tokyo) ที่ต้องมา Check-in!
- สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองซัปโปโร (Sapporo) ที่ต้องมา Check-in!
- สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองโอซาก้า (Osaka) ที่ต้องมา Check-in!
- สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองเกียวโต (Kyoto) ที่ต้องมา Check-in!
- สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองนาโกย่า (Nagoya) ที่ต้องมา Check-in!
- สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองฟุกุโอกะ (Fukuoka) ที่ต้องมา Check-in!