เมืองโกเบ (Kobe) เป็นเมืองหลักจังหวัดเฮียวโงะ (Hyogo) ในภูมิภาคคันไซ (Kansai) และยังเป็นเมืองใหญ่ติดอันดับต้น ๆ ของญี่ปุ่น โดยเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมที่อยู่ห่างจากเมืองหลักของภูมิภาคอย่างโอซาก้า (Osaka) เพียงประมาณ 30 นาทีด้วยรถไฟ จึงสามารถเดินทางมาเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับได้สะดวกค่ะ
โกเบเป็นเมืองท่าที่เคยติดต่อค้าขายกับต่างชาติในอดีต บ้านเมืองที่นี่บางส่วนจึงมีสไตล์แบบตะวันตก รวมถึงย่านการค้าของคนจีนที่เข้ามาทำธุรกิจในญี่ปุ่น ซึ่งปัจจุบันได้กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของเมือง นอกจากนี้ เมืองโกเบก็ยังมีที่เที่ยวทางธรรมชาติอย่างภูเขาและออนเซ็นให้ได้เยี่ยมชม สำหรับอาหารขึ้นชื่อของเมืองนี้ที่คนไทยรู้จักกันดีนั่นก็คือ “สเต็กโกเบ” ซึ่งมีให้เลือกหลากหลายร้าน เรียกได้ว่าถ้ามาเที่ยวเมืองโกเบ ได้อิ่มทั้งบรรยากาศและอิ่มท้องแน่นอน!
12 สถานที่ท่องเที่ยวในโกเบที่ห้ามพลาด!
โกเบ ฮาร์เบอร์แลนด์ (Kobe Harborland)
( แผนที่)
สถานที่ยอดฮิตติดเทรนด์ของชาวเมืองโกเบและชาวต่างชาติที่มักแวะเวียนกันมาอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะมาเดินคนเดียว มากันเป็นคู่ หรือหลายคนจะใช้เป็นจุดนัดพบก็ได้สำหรับ “โกเบ ฮาร์เบอร์แลนด์ (Kobe Harborland)” แหล่งท่องเที่ยวสุดแสนโรแมนติก บริเวณท่าเรือโกเบ (Kobe Port) ที่ผู้คนนิยมพากันมาดื่มด่ำกับบรรยากาศอันสวยงามในยามค่ำคืนของเมืองแห่งนี้
ภายในบริเวณโกเบ ฮาร์เบอร์แลนด์ประกอบไปด้วยแหล่งบันเทิงอันหลากหลาย แหล่งช้อปปิ้งอย่าง Umie และ MOSAIC, พิพิธภัณฑ์เด็กอังปังแมน โกเบ (Kobe Anpanman Children’s Museum) รวมถึงชิงช้าสวรรค์ MOSAIC Ferris Wheel หรือใครชอบเดินชิล ๆ ชมวิวริมน้ำ แนะนำให้มาช่วงเย็น เพราะที่นี่มีการประดับประดาไปด้วยแสงไฟหลากสี เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สามารถมาได้ตลอดทั้งปี…ไม่มีเอาท์จ้า!
สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาพักผ่อนหรือเลือกซื้อสินค้าที่โกเบ ฮาร์เบอร์แลนด์แห่งนี้ ก็สามารถใช้บริการรถไฟใต้ดินสาย Kaigan Line เพื่อมาลงยังสถานี Harbor Land จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 5 – 10 นาที หรือจะนั่งรถไฟสาย JR มาลงที่สถานี Kobe แล้วเดินอีก 15 นาทีก็ได้เหมือนกันค่ะ
โกเบ พอร์ท ทาวเวอร์ (Kobe Port Tower)
( แผนที่)
พบกับบรรยากาศสุดแสนโรแมนติกบนจุดชมวิวสูงที่มีสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นที่นักท่องเที่ยวจำนวนมากอยากจะมาสัมผัสกับ “โกเบ พอร์ท ทาวเวอร์ (Kobe Port Tower)” หอคอยสีแดงที่ตั้งตระหง่านอยู่ใน “สวนเมริเคน (Meriken Park)” ที่อยู่ริมท่าเรือเมืองโกเบ เป็นอีกแลนด์มาร์คสำคัญที่ชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติให้ความสนใจ หรือหลายคนรู้จักกันในชื่อของ “Steel Tower Beauty” ที่เรียกกันแบบนี้ก็เนื่องมาจากโครงสร้างของหอคอยที่มีการออกแบบให้โดดเด่นและคล้ายคลึงกับกลองโบราณญี่ปุ่นนั่นเองค่ะ
หอคอยโกเบ พอร์ท ทาวเวอร์แห่งนี้มีความสูงอยู่ที่ 108 เมตร ซึ่งมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 5 ชั้น ในส่วนของชั้นที่ 1 เป็นจุดจำหน่ายตั๋วและจำหน่ายสินค้าของที่ระลึกต่าง ๆ ส่วนชั้นที่ 2 และ 3 นั้นเป็นโซนร้านอาหาร ร้านค้า คาเฟ่ต่าง ๆ และบนชั้นที่ 3 นี้ยังมีความสามารถในการหมุนรอบ ๆ เป็นวงกลมอย่างช้า ๆ โดยใช้เวลาประมาณ 20 นาทีต่อการหมุน 1 รอบ ซึ่งช่วยสร้างความเพลิดเพลินในขณะรับประทานอาหารไปพร้อม ๆ กับการชมวิวเมืองอีกด้วยค่ะ มาถึงชั้นที่พิเศษกว่าอื่น ๆ คือ ชั้นที่ 4 และ 5 นั้นเป็นโซนสำหรับชมวิวอันสวยงามแบบพาโนรามาของเมืองโกเบได้เกือบจะทั่วทั้งเมือง และสถานที่สำคัญ ๆ ใกล้เคียงอีกด้วยนะคะ
สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมายังโกเบ พอร์ท ทาวเวอร์นี้ ก็สามารถเลือกใช้บริการรถไฟใต้ดินสาย Kaigan Line เพื่อมาลงยังสถานี Minatomotomachi แล้วเดินต่อประมาณ 5 นาที ส่วนคนที่นั่งรถไฟสาย JR หรือ Hanshin ให้ลงที่สถานี Motomachi แล้วเดินต่อประมาณ 15 นาทีค่ะ
พิพิธภัณฑ์สมุทรศาสตร์โกเบ (Kobe Maritime Museum)
( แผนที่)
ข้ามฝั่งจาก “โกเบ พอร์ท ทาวเวอร์ (Kobe Port Tower)” มาเพียงแค่ไม่กี่ก้าว หลายคนคงจะแปลกใจกับอาคารแห่งนี้ ซึ่งมีลักษณะที่แปลกตา รูปทรงคล้าย ๆ กับเรือยักษ์ นั่นก็คือ “พิพิธภัณฑ์สมุทรศาสตร์โกเบ (Kobe Maritime Museum)” ถือเป็นพิพิธภัณฑ์ทางทะเลของประเทศญี่ปุ่นที่เปิดให้ประชาชนได้เข้าชมนับตั้งปี ค.ศ. 1987 เป็นต้นมา โดยมีวัตถุประสงค์ในการสร้างขึ้นเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองในวาระครบรอบปีที่ 120 ของท่าเรือโกเบนั่นเองค่ะ
ลักษณะโครงสร้างอาคารของพิพิธภัณฑ์สมุทรศาสตร์โกเบแห่งนี้ ในส่วนของหลังคานั้นเป็นเหล็กสีขาวรูปทรงคล้ายกับเรือขนาดใหญ่ ภายในมีการจัดแสดงนิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาตร์ความเป็นมา และเรือโบราณชนิดต่าง ๆ ที่ได้เดินทางเข้ามาเพื่อทำการติดต่อหรือค้าขายที่ท่าเรือโกเบแห่งนี้เมื่อครั้งอดีต โดยจัดแสดงให้ชมในรูปแบบที่เป็นสื่อวิดีโอ ภาพจำลองสามมิติ และโรงภาพยนตร์ขนาดเล็กค่ะ
ถ้าใครได้มาเที่ยวที่นี่ก็ต้องแวะมาถ่ายรูปสวย ๆ โดยมีฉากหลังเป็น “หอคอยโกเบ พอร์ท ทาวเวอร์”และ “พิพิธภัณฑ์สมุทรศาสตร์โกเบ” ไว้เป็นที่ระลึกกันด้วยนะคะ เรียกได้ว่าเป็นมุมมหาชนของเมืองโกเบเลยค่ะ
โกเบไชน่าทาวน์ (Kobe Chinatown) / นานกินมาชิ (Nankinmachi)
( แผนที่)
อีกย่านการท่องเที่ยวยอดนิยมของเมืองโกเบซึ่งเป็นย่านเก่าแก่ที่รวมร้านอาหารอร่อยๆ เอาไว้กว่า 100 ร้านอย่าง “โกเบไชน่าทาวน์ (Kobe Chinatown)” หรือในอีกชื่อหนึ่งคือ “ย่านนานกินมาชิ (Nankinmachi)” ถือเป็นย่านที่มีคนจีนอาศัยอยู่กันเป็นจำนวนมากนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1868 เป็นต้นมา บรรยากาศในย่านนี้ก็จะมีกลิ่นอายความเป็นวัฒนธรรมจีนและผสมกันกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นได้อย่างลงตัว และที่นี่ยังมีสัญลักษณ์สำคัญที่แสดงถึงความเป็นจีนอยู่นั่นคือ ประตูชังอันมง (Chang An Gate) ทิศตะวันออก, ประตูเซี่ยนมง (Xian Gate) ทิศตะวันตก และประตูนันโหลวมง (Nanlou Gate) ทิศใต้นั่นเองค่ะ
ภายในย่านโกเบไชน่าทาวน์แห่งนี้ก็เต็มไปด้วยร้านค้า ร้านกาแฟ ร้านขายของฝาก ภัตตาคาร และร้านอาหารที่ตั้งเรียงรายกันอยู่อย่างหนาแน่นและมีให้เลือกหลากหลายราคา โดยเฉพาะร้านอาหารจีนที่มีให้นักท่องเที่ยวได้เลือกทานกันมากมายตลอดทั้งวัน มาถึงที่นี่แล้วก็อย่าลืมแวะชิมอาหารขึ้นชื่ออย่าง ติ่มซำ ซาลาเปา และอีกหลากหลายเมนูแปลกใหม่กันดูนะคะ
ใครที่ยังเดินช้อป ชิม ชิว ไม่จุใจ ใกล้ ๆ กับย่านนานกินมาชิแห่งนี้ก็ยังมีถนนคนเดิน “Kobe Motomachi Shopping Street” ให้ไปละลายทรัพย์กันอีกด้วยค่ะ สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาสัมผัสบรรยากาศและกลิ่นอายแบบจีน ๆ ณ โกเบไชน่าทาวน์แห่งนี้ก็สามารถเลือกใช้บริการรถไฟ JR หรือ Hanshin มาลงสถานี Motomachi แล้วเดินต่อประมาณ 5 นาทีค่ะ
ย่านคิตะโนะ (Kitano-cho)
( แผนที่)
ขอแนะนำอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับคนที่ชื่นชอบความสโลว์ไลฟ์ ไปกับการเดินชิลท่ามกลางบรรยากาศในสไตล์ยุโรปตะวันตก ณ “ย่านคิตะโนะ (Kitano-cho)” ถือเป็นย่านเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมา เนื่องจากในอดีตย่านแห่งนี้ได้เป็นแหล่งที่พักอาศัยของชาวต่างชาติที่เดินทางมาเพื่อติดต่อและทำการค้ากับชาวโกเบนั่นเองค่ะ เราจะสังเกตเห็นว่าบ้านพักหรืออาคารสำนักงานแต่ละหลังในย่านคิตะโนะนี้มีการออกแบบและตกแต่งตามสถาปัตยกรรมยุโรปที่มีความสวยงาม โดดเด่น และน่าหลงใหล ราวกับว่าได้มาเดินเล่นในเมืองใดเมืองหนึ่งของประเทศในแถบยุโรปกันเลยทีเดียว
ส่วนใหญ่แล้วบ้านพักที่มีการเปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมได้ยกให้เป็นสมบัติของเมืองโกเบ และได้มีการดูแลรักษาไว้เป็นอย่างดีและยังคงสภาพเหมือนดังเดิม ไม่ว่าจะเป็นข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ภายในบ้าน โดยบ้านที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมก็มีอาทิ English House, Sherlock Holmes, Ben House, Panama Consulate, French House, Uroko Museum, Weather Cock House, Denmark House, Tudor Housem, Wien House และมีหลังอื่น ๆ ให้เข้าชมอีกมากมายกว่า 20 หลังค่ะ
สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาสัมผัสบรรยากาศของบ้านเรือนและกลิ่นอายความเป็นยุโรปในย่านคิตะโนะแห่งนี้ก็สามารถเลือกใช้บริการรถไฟเพื่อมาลงยังสถานี Shin-Kobe หรือสถานี Sannomiya แล้วเดินต่ออีกประมาณ 10 – 15 นาทีค่ะ
สวนสมุนไพรนูโนะบิกิ (Nunobiki Herb Garden) / กระเช้าลอยฟ้าชินโกเบ (Shin-Kobe Ropeway)
( แผนที่)
สำหรับท่านที่ชื่นชอบธรรมชาติเป็นชีวิตจิตใจ หรือกลุ่มคนรักสุขภาพ เราขอแนะนำอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวของเมืองโกเบอย่าง “สวนสมุนไพรนูโนะบิกิ (Nunobiki Herb Garden)” ถือเป็นสวนสมุนไพรขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บน “ภูเขารอคโค (Mount Rokko)” ที่มีความสวยงามท่ามกลางธรรมชาติอันเงียบสงบ
นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปที่สวนสมุนไพรนูโนะบิกิที่ตั้งอยู่บนภูเขาได้โดยการนั่ง“กระเช้าลอยฟ้าชินโกเบ (Shin-Kobe Ropeway)” จากสถานี Herb Gardens Bottom เพื่อไปยังสถานี Herb Gardens Top โดยระยะเวลาที่นั่งอยู่บนกระเช้าลอยฟ้าเพื่อขึ้นไปยังสวนสมุนไพรแห่งนี้ก็จะใช้เวลาประมาณ 10 นาทีค่ะ ซึ่งเป็นเวลาที่เหมาะแก่การชื่นชมความสวยงามของธรรมชาติระหว่างทางได้อย่างเพลิดเพลินค่ะ
ในส่วนด้านบนประกอบไปด้วยสวนสมุนไพรที่มีทั้งแบบกลางแจ้งและเรือนกระจกจุดชมวิวบ่อน้ำพุร้อน ร้านกาแฟ ร้านอาหาร ร้านจำหน่ายของที่ระลึก และร้านจำหน่ายเครื่องหอมจากสมุนไพรต่าง ๆ ภายในสวนแห่งนี้ยังประกอบไปด้วยต้นสมุนไพรนานาชนิดที่มีมากกว่า 70,000 สายพันธุ์ และยังรวมถึงดอกไม้หลากหลายพันธุ์ ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมได้ตลอดทั้งปี สำหรับคนที่อยากจะเดินทางมาสัมผัสบรรยากาศของสวนสมุนไพรนูโนะบิกิแห่งนี้ก็สามารถใช้บริการรถไฟเพื่อมาลงที่สถานี Shin-Kobe แล้วเดินต่อไปยัง Kobe Nunobiki Herb Gardens & Ropeway โดยใช้เวลาประมาณ 5 นาทีค่ะ
เท็ตสึจิน หุ่นเหล็กหมายเลข 28 (Tetsujin No. 28 Statue)
( แผนที่)
มาถึงขวัญใจคอการ์ตูนกันบ้าง…ซึ่งเป็นที่รู้จักมักคุ้นกันไปทั่วโลกเลยก็ว่าได้กับ “เท็ตสึจิน หุ่นเหล็กหมายเลข 28 (Tetsujin No. 28 Statue)” มีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า “Gigantor” ตั้งอยู่ที่สวนสาธารณะวากามัตสึ (Wakamatsu Park) โดยได้เปิดให้เข้าชมตั้งแต่ปี ค.ศ. 2009 เป็นต้นมา ถือได้ว่าเป็นหุ่นที่มีขนาดเท่าของจริงซึ่งหนักถึง 50 ตัน และมีความสูงอยู่ที่ 15 เมตร
หุ่นเท็ตสึจินหมายเลข 28 ก่อกำเนิดขึ้นมาจากการ์ตูนญี่ปุ่นชื่อดัง โดยนักเขียนที่มีชื่อว่า มิตซึเทรุ โยโกะยามะ (Mitsuteru Yokoyama) โดยจุดประสงค์ในการสร้างเจ้าหุ่นเหล็ก เท็ตสึจินตัวนี้ขึ้นมาก็เพื่อเป็นเกียรติแก่มิตซึเทรุ โยโกะยามะ หลังจากที่เสียชีวิตไปแล้ว และเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหวใหญ่ฮันชิน (The Great Hanshin Earthquake) เมื่อปี ค.ศ. 1995 ซึ่งเป็นผลให้เกิดความเสียหายอย่างมากในพื้นที่โดยรอบเมืองโกเบ
จะบอกว่าเจ้าหุ่นเหล็กตัวนี้คือหนึ่งในสัญลักษณ์ของเมืองโกเบไปแล้วนั้นก็คงไม่ผิดค่ะ เพราะได้กลายเป็นหนึ่งในแลนด์มาคสำคัญของเมืองนี้ไปแล้วนั่นเอง สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาดูความยิ่งใหญ่อลังการของเจ้าหุ่นเหล็กเท็ตสึจินนี้ก็สามารถใช้บริการรถไฟใต้ดินหรือสาย JR เพื่อมาลงที่สถานี Shin-Nagata จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 3 – 5 นาทีค่ะ
พิพิธภัณฑ์แผ่นดินไหวโกเบ (Kobe Earthquake Memorial Museum)
( แผนที่)
อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวและยังเป็นทั้งแหล่งเรียนรู้ที่สร้างมาจากสถานกาณ์จริงที่เกิดขึ้นในอดีต ที่เคยทำให้เมืองโกเบแห่งนี้ได้รับความเสียหายอย่างหนักสำหรับ “พิพิธภัณฑ์แผ่นดินไหว (Kobe Earthquake Memorial Museum)” หรือชื่อเต็มว่า “The Great Hanshin-Awaji Earthquake Memorial Disaster Reduction and Human Renovation Institution” ถือเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ที่มีจุดประสงค์ในการสร้างก็เพื่อรำลึกนึกถึงผู้ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งร้ายแรงที่สุดของเมืองนี้ ซึ่งมีขนาดความแรงอยู่ที่ 7.3 ริกเตอร์ ทำให้มีผู้เคราะห์ร้ายจำนวนทั้งสิ้น 6,434 คน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกกว่า 40,000 คน โดยเหตุการณ์ครั้งนั้นได้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 5.46 น. ของวันที่ 17 มกราคม ค.ศ. 1995
สำหรับโครงสร้างของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้มีการออกแบบและติดตั้งด้วยกระจก 2 ชั้นทั่วทั้งอาคาร ซึ่งเป็นกระจกที่มีความแข็งแรง ทนทาน และที่สำคัญคือสามารถป้องกันแรงสั่นสะเทือนที่เกิดจากแผ่นดินไหวได้อย่างดีแน่นอนค่ะ หากเดินเข้ามาภายในอาคาร นักท่องเที่ยวก็จะเห็นว่าที่นี่นั้นมีการจัดแสดงเรื่องราวประวัติความเป็นมา และการจำลองเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาดรุนแรงครั้งนั้นที่เป็นแบบหนังสั้นสารคดีแบบภาพสามมิติ ที่ช่วยให้ดูเสมือนจริงราวกับว่าเราได้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริง ๆ ยังไงก็ลองมาทำความรู้จักประเทศญี่ปุ่นในอีกมุมหนึ่งกันดูนะคะ
สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาศึกษาและเรียนรู้เรื่องราวความเป็นมาของเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งรุนแรง ณ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ก็สามารถใช้บริการรถไฟสาย Hanshin มาลงที่สถานี Kasuganomichi หรือสถานี Iwaya แล้วเดินต่ออีกประมาณ 10 นาที หรือนั่งรถไฟสาย JR มาลงสถานี Nada แล้วเดินต่ออีกประมาณ 15 นาทีค่ะ
สวนสัตว์โกเบ (Kobe Animal Kingdom)
( แผนที่)
มาดูอีกหนึ่งสถานที่ที่น่าสนใจอยากมากทีเดียว โดยเฉพาะผู้ที่รักสัตว์เป็นชีวิตจิตใจ ดูภายนอกอาจจะบอกว่าธรรมดา…แต่ภายในนั้นไม่ธรรมดาแน่นอนสำหรับ “สวนสัตว์โกเบ (Kobe Animal Kingdom)” ที่กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของกลุ่มคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะบรรดาเด็ก ๆ ที่อยากจะมาสัมผัสและใกล้ชิดกับสัตว์ที่มีอยู่หลากหลายสายพันธุ์ภายในสวนสัตว์แห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าอัลปาก้า คาปิบาร่า จิงโจ้ เพนกวิน อูฐ แพนด้าแดง กระต่าย แกะ หมีขอ เต่า ตัวนาก สุนัข แมว นก และสัตว์อื่น ๆ อีกมากมาย โดยนักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปสัมผัส ให้อาหาร หรือถ่ายรูปกับสัตว์ก็สามารถทำได้เลยค่ะ
ภายในสวนสัตว์โกเบแห่งนี้ล้อมรอบไปด้วยเรือนกระจกใสอย่างมิดชิด และเต็มไปด้วยด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ ดอกไม้นานาพันธุ์ ให้ความรู้สึกที่เป็นมากกว่าสวนสัตว์ นักท่องเที่ยวที่มีโอกาสแวะมาเยี่ยมเยียนที่สวนสัตว์แห่งนี้ก็จะเพลิดเพลินไปกับเหล่าสัตว์น่ารัก น่าเอ็นดู ที่จัดไว้ให้อยู่ตามโซนต่าง ๆ ซึ่งก็จะแปลกและแหวกแนวจากสวนสัตว์อื่น ๆ ที่เราเห็นกันอยู่ประจำตรงที่สัตว์ที่นี่จะค่อนข้างปล่อยให้อยู่อย่างอิสระ ราวกับว่าเราได้มาเดินเล่นกันในป่าท่ามกลางเจ้าสัตว์น้อยใหญ่ที่อยู่รายล้อม ซึ่งถือเป็นบรรยากาศที่หาชมได้ยากทีเดียว…บอกได้คำเดียวว่าคุณจะตกหลุมรักเจ้าสัตว์โลกผู้น่ารักอย่างแน่นอนค่ะ
สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาชมความน่ารักสดใสของเจ้าสัตว์นานาชนิดที่ Kobe Animal Kingdom แห่งนี้ ก็สามารถใช้บริการรถไฟสาย Kobe Port Liner เพื่อมาลงยังสถานี Kei Computer-Mae ก็ถึงเลยค่ะ
สะพานอากาชิไคเกียว (Akashi Kaikyo Bridge)
( แผนที่)
มาดูสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งที่ถือว่ามีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันดีกับสะพานแขวนที่ยาวที่สุดในโลกอย่าง “สะพานอากาชิไคเกียว (Akashi Kaikyo Bridge)” ซึ่งมีความยาวอยู่ที่ 3,911 เมตร สะพานแห่งนี้สร้างขึ้นมาก็เพื่อใช้เป็นเส้นทางการคมนาคมระหว่างเมืองโกเบไปยังเกาะอาวะจิ (Awaji Island) โดยเริ่มมีการก่อสร้างในปี ค.ศ. 1986 และสร้างเสร็จสมบูรณ์และเริ่มเปิดให้บริการครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน ค.ศ. 1998 เป็นต้นมาค่ะ
หากขึ้นไปด้านบนของสะพานที่เป็นจุดชมวิว “Maiko Marine Promenade” สำหรับนักท่องเที่ยวจะพบว่าพื้นนั้นเป็นกระจกใส ทำให้สามารถมองเห็นแม่น้ำด้านล่างได้อย่างชัดเจน แต่ค่อนข้างจะอยู่สูงทีเดียว จากพื้นสะพานไปยังพื้นน้ำอยู่ห่างกันประมาณ 50 เมตร สำหรับคนที่กลัวความสูงก็จะแอบเสียวไปตาม ๆ กันแน่นอนค่ะ สำหรับในช่วงกลางคืน ที่นี่ก็มีการประดับประดาด้วยไฟหลากหลายสีสันไปทั่วทั้งสะพาน ทำให้มองเห็นเงาสะท้อนในแม่น้ำได้อย่างสวยงามชัดเจน ใครอยากเปลี่ยนบรรยากาศก็แวะมาได้ค่ะ
สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาชื่นชมความงามและความยิ่งใหญ่อลังการของสะพานอากาชิไคเกียวแห่งนี้ สามารถใช้บริการรถไฟ JR สาย Kobe Line เพื่อมาลงยังสถานี Maiko จากนั้นเดินต่อเพียงแค่ 5 นาทีเท่านั้นค่ะ
ภูเขารอคโค (Mount Rokko)
( แผนที่)
มาต่อกันเลยกับอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องบอกว่าพีคมาก…และอยากบอกต่อสำหรับ “ภูเขารอคโค (Mount Rokko)” เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติของเมืองโกเบที่ได้รับความนิยมชมชอบจากนักท่องเที่ยวไม่น้อยเลยทีเดียว เนื่องจากภูเขาแห่งนี้ไม่ได้มีดีแค่วิวหลักล้านเท่านั้นนะคะ แต่ยังประกอบไปด้วยร้านอาหารหลากสไตล์ ร้านขนมของฝาก คาเฟ่นั่งชิลล์ สวนพฤกษศาสตร์ พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีสนามกอล์ฟ ลานสกี ทุ่งหญ้า และจุดชมวิวเมืองโกเบค่ะ
และด้วยความสูงที่วัดจากระดับน้ำทะเลอยู่ที่ 931 เมตร การที่นักท่องเที่ยวจะขึ้นไปบนภูเขารอคโคแห่งนี้ได้นั้นจะต้องอาศัยพาหนะรถรางอย่าง Rokko Cable Car ตัวช่วยชั้นดีที่ช่วยให้เราสามารถขึ้นไปเที่ยวข้างบนได้อย่างรวดเร็วพร้อม ๆ กับการได้ชื่นชมความสวยงามระหว่างทาง และตรงชั้น 2 ของสถานีที่เป็นจุดชมวิวกลางแจ้ง Tenran Observatory ซึ่งมีความพิเศษตรงที่เราสามารถเห็นวิวอ่าว วิวเมืองโกเบ อ่าวโอซาก้า ยูนิเวอร์แซลสตูดิโอ และหากท้องฟ้าแจ่มใสก็สามารถเห็นไกลไปถึงสนามบินคันไซเลยค่ะ
เมื่อมาถึงบนเขาแล้วนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางท่องเที่ยวไปตามจุดสำคัญต่าง ๆ ที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 8 ป้ายด้วยรถบัส Rokko Sanjo Bus ได้เลยค่ะ ซึ่งก็จะพาเราวิ่งไปตามเส้นทางแล้ววนกลับเป็นวงกลมค่ะ สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาเที่ยวภูเขารอคโคแห่งนี้ก็สามารถใช้บริการรถไฟโดยเริ่มจากสถานี Hankyu Rokko หรือสถานี JR Rokkomochi จากนั้นให้นั่งรถบัสหมายเลข 12 เพื่อไปลงที่สถานี Rokko Cable Shita แล้วต่อรถรางขึ้นเขาอีกประมาณ 10 นาทีเท่านั้นค่ะ
อาริมะออนเซ็น (Arima Onsen)
( แผนที่)
หากมาถึงเมืองโกเบแล้ว…อีกสิ่งที่ต้องห้ามพลาดเลยก็คือการได้มานอนแช่ตัวให้หายจากความเมื่อยล้าที่ “อาริมะออนเซ็น (Arima Onsen)” ถือเป็นย่านน้ำพุร้อนสำคัญอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ทางทิศเหนือของ “ภูเขารอคโค (Mount Rokko)” ที่มีความเก่าแก่และมีชื่อเสียงอย่างมากของญี่ปุ่น รวม ๆ แล้วก็มีอายุยาวนานกว่า 1,000 ปีเลยทีเดียว ซึ่งที่นี่ก็จะเต็มไปด้วยโรงแรมและที่พักแบบเรียวกังในสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิมเป็นส่วนใหญ่ค่ะ ส่วนบรรยากาศภายในเมืองแห่งนี้ก็จะค่อนข้างเงียบสงบ เนื่องจากตั้งอยู่บนที่สูงและล้อมรอบไปด้วยภูเขาที่มีต้นไม้น้อยใหญ่สลับกันไป แต่ขอบอกเลยว่ามีนักท่องเที่ยวที่ตั้งใจเดินทางมาเพื่อสัมผัสกับน้ำแร่ออนเซ็นแห่งนี้กันอย่างไม่ขาดสายเลยทีเดียว
ว่ากันว่าบ่อออนเซ็นแห่งนี้มีลักษณะพิเศษกว่าที่อื่นตรงที่เป็นน้ำแร่ธรรมชาติซึ่งอุดมไปด้วยแร่ธาตุสำคัญมากกว่า 5 ชนิด ที่ช่วยในการบำบัดรักษาอาการเจ็บป่วยได้ โดยมีบ่ออยู่ทั้งหมด 2 แบบด้วยกัน คือ บ่อน้ำพุร้อนสีทอง (Kinsen) จะเป็นบ่อที่มีสีน้ำตาลแดงที่ประกอบไปด้วยธาตุเหล็ก โซเดียม และคลอไรด์ซึ่งมีฤทธิ์ต่อการฆ่าเชื้อ ช่วยบำรุงรักษาผิวพรรณได้อย่างดีเยี่ยม และบ่อน้ำพุร้อนสีเงิน (Ginsen) ซึ่งเป็นน้ำแร่ที่มีลักษณะเป็นสีใส ประกอบไปด้วยกรดคาร์บอนิกที่มีประโยชน์ต่อระบบไหลเวียนโลหิต และทำให้ผ่อนคลายจากความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าได้อย่างดีค่ะ
สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาเพื่อผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจที่อาริมะออนเซ็นแห่งนี้ก็สามารถเดินทางจากใจกลางเมืองโกเบ ทั้งจากสถานี Sannomiya หรือ Shin-Kobe ด้วยรถไฟมาลงที่สถานี Tanigami แล้วต่อรถไฟสาย Shintetsu Arima-Sanda Line มาลงที่สถานี Arima-guchi แล้วเปลี่ยนเป็นสาย Arima Line มาลงสถานี Arima Onsen ซึ่งใช้ระยะเวลาเดินทางประมาณ 30 นาทีค่ะ
ส่งท้าย
คาดว่าน่าจะเต็มอิ่มกันเลยทีเดียวกับทั้ง 12 สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองโกเบที่แนะนำในบทความนี้ เรียกได้ว่าเป็นเมืองที่มีแหล่งท่องเที่ยวครบครันทั้งแหล่งช้อปปิ้ง จุดชมวิวเมืองและธรรมชาติเลยนะคะ
แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในญี่ปุ่น
- สถานที่ท่องเที่ยวในโตเกียว (Tokyo) ที่ต้องมา Check-in!
- สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองซัปโปโร (Sapporo) ที่ต้องมา Check-in!
- สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองโอซาก้า (Osaka) ที่ต้องมา Check-in!
- สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองเกียวโต (Kyoto) ที่ต้องมา Check-in!
- สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองนาโกย่า (Nagoya) ที่ต้องมา Check-in!
- สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองฟุกุโอกะ (Fukuoka) ที่ต้องมา Check-in!