Home เที่ยวญี่ปุ่นคันไซ (Kansai) 20 สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองเกียวโต (Kyoto) ที่ต้องมา Check-in!
สถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดเกียวโต (Kyoto)

20 สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองเกียวโต (Kyoto) ที่ต้องมา Check-in!

by Pikanoui
26257 views

จังหวัดเกียวโต (Kyoto) ตั้งอยู่ในภูมิภาคคันไซ (Kansai) ถือได้ว่าเป็นเมืองแห่งศิลปะและวัฒนธรรมของประเทศญี่ปุ่น โดยมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 794 แต่เดิมเกียวโตเคยเป็นเมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่น ภายในเมืองนั้นมีสิ่งก่อสร้างสำคัญทางประวัติศาสตร์มากมาย และยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัดและศาลเจ้าที่มีความงดงามและมีชื่อเสียงโด่งดัง ซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยี่ยมชมเมืองเก่าแห่งนี้เป็นจำนวนมากค่ะ

20 สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองเกียวโตที่ห้ามพลาด!

ในบทความนี้เราจะขอแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในใจกลางเมืองเกียวโตและรอบ ๆ ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวนะคะ เนื่องจากว่าเมืองเกียวโตนั้นมีแหล่งท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก เราจึงขอแนะนำสถานที่เป็นโซน ๆ นะคะ เพื่อสะดวกต่อการวางแผนเที่ยวและการเดินทางค่ะ

หมายเหตุ

  • ชื่อของแหล่งท่องเที่ยวที่มี ต่อท้ายเป็นสถานที่ที่ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงค่ะ

– เกียวโตกลาง (Central Kyoto) –

สถานีเกียวโต (Kyoto Station)

( แผนที่)

สถานีเกียวโต (Kyoto Station)

การคมนาคมในเกียวโตนั้นจะใช้รถบัสและรถไฟเป็นหลักค่ะ และสถานีเกียวโต (Kyoto Station)ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานีรถไฟขนาดใหญ่นั้นก็เป็นสถานีศูนย์กลางของเมืองค่ะ โดยเป็นทั้งศูนย์ในการต่อรถไฟ JR, รถไฟความเร็วสูงชินคันเซ็น, รถไฟ Kintetsu, รถบัส และรถไฟใต้ดินค่ะ

อาคารของสถานีเกียวโตประกอบด้วยโครงสร้างที่ทำจากเหล็กและกระจกเพื่อให้เกิดความสวยงาม ดูทันสมัย และแข็งแรง ซึ่งอาคารที่เห็นในปัจจุบันนี้เปิดให้บริการเมื่อปี ค.ศ. 1997 โดยสร้างขึ้นเพื่อทดแทนอาคารหลังเก่า นอกจากจะใช้เป็นศูนย์กลางในคมนาคมของเมืองแล้ว ภายในอาคารของสถานีเกียวโตยังประกอบไปด้วยห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร ร้านจำหน่ายสินค้ามากมาย และยังมีพื้นที่จัดการแสดงอีกด้วยค่ะ

หอคอยเกียวโตทาวเวอร์ (Kyoto Tower)

( แผนที่)

หอคอยเกียวโตทาวเวอร์ (Kyoto Tower)

แลนมาร์คสำคัญของเมืองเกียวโตนั่นก็คือ “หอคอยเกียวโตทาวเวอร์ (Kyoto Tower)” หอคอยสีขาวที่มีลักษณะรูปทรงคล้ายกับประภาคารซึ่งดูโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ตั้งสง่าอยู่ใจกลางเมือง ตรงข้ามกับ สถานีเกียวโต (Kyoto Station)นี่เองค่ะ

หอคอยเกียวโตทาวเวอร์แห่งนี้สร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1964 ถือเป็นปีเดียวกันกับการเปิดตัวของรถไฟชินคันเซ็น และงานโอลิมปิกในกรุงโตเกียว หอคอยแห่งนี้มีระดับความสูงอยู่ที่ 131 เมตร เป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในเมืองเกียวโต ที่นี่มีจุดชมวิวด้านบน ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมความงามของเมืองได้แบบ 360 องศา ในระดับความสูงที่ 100 เมตร ส่วนชั้นล่างของหอคอยเกียวโตนี้ยังรังสรรค์ให้กลายเป็น “โรงแรมเกียวโตทาวเวอร์ (Kyoto Tower Hotel)” ด้วยนะคะ

ปราสาทนิโจ (Nijo Castle)

( แผนที่)

ปราสาทนิโจ (Nijo Castle)

เยี่ยมชมปราสาทอันงดงามและทรงคุณค่าในดินแดนที่เคยเป็นเมืองหลวงเก่า ณ  ปราสาทนิโจ (Nijo Castle)ปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1603 โดยใช้ระยะเวลาก่อสร้างค่อนข้างนานถึง 23 ปี เลยทีเดียว เนื่องจากปราสาทแห่งนี้มีความยิ่งใหญ่และมีบริเวณกว้างขวางมากค่ะ

ปราสาทนิโจเดิมเคยเป็นที่พำนักของท่านโชกุนโทคุกาวะ (Tokugawa) ภายหลังได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกแห่งองค์การ UENSCO ในปี ค.ศ. 1994 ตัวปราสาทได้รับการบูรณะและต่อเติมเพื่อให้คงสภาพเดิมไว้ โดยเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาศึกษาและเยี่ยมชมค่ะ ซึ่งบริเวณปราสาทนั้นประกอบด้วย 3 โซนหลัก ๆ คือ ฮอนมารุ (Honmaru) ซึ่งเป็นบริเวณปราสาทชั้นใน ใช้สำหรับเป็นที่พำนักของท่านโชกุน นิฮอนมารุ (Ninomaru) ซึ่งเป็นบริเวณปราสาทชั้นนอก และบริเวณสวน (Garden) ภายในปราสาทค่ะ

คนที่จะมาเที่ยวปราสาทนิโจสามารถนั่งรถไฟใต้ดินสาย Tozai Line มาลงที่สถานี Nijojo-mae หรือนั่งรถบัสสาย 9, 50 หรือ 101 จากสถานี Kyoto ก็ได้ค่ะ

พระราชวังอิมพีเรียลเกียวโต (Kyoto Imperial Palace)

( แผนที่)

พระราชวังอิมพีเรียลเกียวโต (Kyoto Imperial Palace)

สัมผัสความงามและความยิ่งใหญ่ของพระราชวังเก่าที่คนญี่ปุ่นให้ความสำคัญและเกิดความภาคภูมิใจ นั่นคือ พระราชวังอิมพีเรียลเกียวโต (Kyoto Imperial Palace)หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ เกียวโตโกโช (Kyoto Gosho)” พระราชวังแห่งนี้เคยเป็นที่ประทับขององค์พระจักรพรรดิญี่ปุ่นในอดีต ก่อนที่จะย้ายเมืองหลวงใหม่ไปยังโตเกียวในปี ค.ศ. 1868

พระราชวังอิมพีเรียลเกียวโตเคยถูกเผาทำลายอันเนื่องมาจากภัยสงครามในอดีต และได้มีการบูรณะอีกครั้งในปี ค.ศ. 1855 สำหรับการเยี่ยมชมพระราชวังนั้นจะมีการแบ่งออกเป็นโซนสำคัญ ๆ ได้แก่ โชไดบุโนะมะ (Shodaibunoma) โซนนี้จะเป็นห้องรับรองสำหรับขุนนางหรือพระราชอาคันตุกะที่รอเข้าเฝ้าองค์พระจักรพรรดิค่ะ จากนั้นจะเป็นโซนประตูใหญ่เค็นเรอิมง (Kenreimon) เพื่อใช้เป็นทางเข้าออกของพระจักรพรรดิค่ะ ต่อมาจะเป็นพระที่นั่งชิชินเด็น (Shishinden) ที่นี่ถือเป็นสถานที่สำคัญที่ใช้ในการประกอบพระราชพิธีสำคัญต่าง ๆ และปิดท้ายด้วยโซน “พระราชวังเซนโต (Sento Imperial Palace)” ที่สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1630 เพื่อใช้เป็นที่ประทับของอดีตพระจักรพรรดิโกะมิซุโน (Gomizuno) อีกด้วยนะคะ

การเดินทางมายังพระราชวังอิมพีเรียลเกียวโตนั้นค่อนข้างสะดวกเลยค่ะ เพราะอยู่ใกล้กับสถานี Marutamachi นั่งรถไฟใต้ดินสาย Karasuma Line จากสถานี Kyoto มาต่อเดียวเองค่ะ


– เกียวโตตะวันออก (Eastern Kyoto) –

วัดคิโยมิสึ (Kiyomizu-dera Temple)

( แผนที่)

วัดคิโยมิสึเดระ (Kiyomizu-dera Temple)

เมื่อพูดถึงเมืองมรดกโลกอย่างเกียวโต ซึ่งเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองและมีประวัติความเป็นมาอันยาวนานแล้วล่ะก็ หลายคนคงรู้จัก วัดคิโยมิสึ (Kiyomizudera Temple)หรือที่คนไทยเรียกติดปากกันว่า “วัดน้ำใส” นั่นเอง

วัดคิโยมิสึตั้งอยู่บนเนินเขาฮิกาชิยาม่า (Higashiyama) สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 780 มีอายุกว่า 1,000 ปีมาแล้ว เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติ ที่สำคัญทาง UNESCO ได้บันทึกให้วัดแห่งนี้ขึ้นเป็นมรดกโลกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ

หากเดินเข้ามาในบริเวณวัดจะเจอเจดีย์สามชั้นที่มีความสวยงามซึ่งมีชื่อว่า เจดีย์ซันจุโนโตะ (Sanju-no-to) จุดเด่นของวัดนี้คือ อาคารหลักของวัด (Hondo) ซึ่งเป็นระเบียงขนาดใหญ่สูง 13 เมตร มีเสาไม้กว่าร้อยต้นรองรับโดยการใช้สลักยึดอาคารแทนการใช้ตะปูยึด และมีระเบียงที่สร้างยื่นออกจากด้านข้างของเนินเขา นักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของเมืองเกียวโตได้โดยยืนที่ระเบียงแห่งนี้อีกด้วยค่ะ นอกจากนี้ภายในวัดคิโยมิสึยังมีน้ำตกที่ชื่อว่า “โอโตวะ (Otowa Waterfall) ซึ่งไหลลงมาสู่บ่อน้ำเป็นสายน้ำ 3 สาย คนญี่ปุ่นเชื่อกันว่าน้ำตกแต่ละสายนั้นจะช่วยในเรื่องการศึกษา ความรัก และสุขภาพได้ค่ะ

สำหรับคนที่จะมาเที่ยวที่นี่ให้นั่งรถบัสสาย 86, 100, 106, 110, 206 จากสถานี Kyoto มาลงที่ป้าย Kiyomizu-michi และเดินเท้าต่ออีกประมาณ 15 นาทีค่ะ

หมายเหตุ

  • อาคารหลักของวัดคิโยมิสึมีการปิดปรับปรุงตั้งแต่ปี ค.ศ. 2017 – 2020 แต่ส่วนอื่นยังเข้าชมได้ปกติ

ย่านฮิกาชิยาม่า (Higashiyama)

( แผนที่)

ย่านฮิกาชิยาม่า (Higashiyama)

ท่องเที่ยวในแบบวิถีของคนญี่ปุ่นและสัมผัสกลิ่นอายความเป็นเมืองเก่าที่มีประวัติศาสตร์บอกเล่าเรื่องราวและถูกอนุรักษ์ไว้อย่างดี ณ “ย่านฮิกาชิยาม่า (Higashiyama)” ที่นี่ถือได้ว่าเป็นย่านการค้าที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะอยู่ระหว่างสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิต “วัดคิโยมิสึ (Kiyomizu-dera Temple) และ “ศาลเจ้ายากาสะ (Yasaka Shrine)

ตลอดสองข้างทางของถนนในย่านฮิกาชิยาม่านั้นเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร ร้านจำหน่ายของที่ระลึก และอื่น ๆ อีกมากมาย สามารถเพลิดเพลินกับการจับจ่ายเลือกซื้อสินค้าและลิ้มลองอาหารอร่อย ๆ ได้อย่างจุใจ บ้านเรือนและอาคารส่วนใหญ่ในแถบนี้สร้างด้วยไม้และได้รับการปรับปรุงดูแลเพื่อคงไว้ให้เหมือนเดิมค่ะ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะแวะมาที่นี่เพื่อมาช็อป ชิม ชิลและมาถ่ายรูป “เจดีย์ยาซากะ (Yasaka Pagoda) ซึ่งถือเป็นแลนด์มาร์คที่สำคัญของย่านฮิกาชิยาม่าแห่งนี้เลยก็ว่าได้

ย่านกิออน (Gion)

( แผนที่)

ย่านกิออน (Gion)

หากมีโอกาสได้มาเที่ยวเมืองเกียวโต หลายคนก็อยากมาชม “เกอิชา (Geisha)เพราะอาชีพนี้ถือได้ว่าเป็นอาชีพที่เก่าแก่และถูกถ่ายทอดสืบต่อกันมา แต่ว่าจะต้องไปตามหาที่ไหนล่ะ?…ก็ต้องที่ “ย่านกิออน (Gion)” นี่ละค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณ “ถนนฮานามิ-โคจิ (Hanami-Koji) ที่อยู่ระหว่าง “ถนนชิโจ (Shijo Street) และ “วัดเคนนินจิ (Kenninji Temple)

ย่านกิออนนั้นถือเป็นย่านราตรียามค่ำคืนที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักเกี่ยวกับเกอิชามาตั้งแต่อดีต ร้านค้าและร้านอาหารที่นี่ตกแต่งในสไตล์ญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม และร้านหลาย ๆ ร้านจะมีเหล่าเกอิชาไว้คอยต้อนรับแขกไม่ว่าจะเป็นการชงชา การร่ายรำ การเล่นดนตรี และการแสดงต่าง ๆ

สำหรับที่เกียวโตนี้จะเรียกเกอิชาว่า “เกอิโกะ (Geiko) และเรียกเกอิชาฝึกหัดว่า “ไมโกะ” (Maiko) แต่โดยทั่วไปแล้วนักท่องเที่ยวจะมีโอกาสได้เจอเกอิชาตัวจริงค่อนข้างยาก เพราะร้านที่มีเกอิชาให้บริการจะมีราคาสูงมากและรับเฉพาะลูกค้าที่เป็นสมาชิกเท่านั้น บางครั้งก็ไม่รับลูกค้าที่เป็นต่างชาติอีกด้วยค่ะ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จึงต้องรอโอกาสที่จะได้พบตอนที่ตอนที่เหล่าเกอิชาเดินอยู่ตามถนน แต่ถึงจะไม่ได้เจอ เราก็ยังสามารถเดินชมบ้านเรือนสวย ๆ แถวนี้ได้นะคะ

คนที่มาเที่ยว “ย่านฮิกาชิยาม่า (Higashiyama)” สามารถเดินต่อมายังย่านกิออนได้เลยเพราะอยู่ติดกัน หรือถ้ามาจากสถานี Kyoto ก็นั่งรถบัสสาย 100 หรือ 206 มาลงที่ป้าย Gion นอกจากนั้นก็ยังสามารถนั่งรถไฟมาลงที่สถานี Gion Shijo ด้วยสาย Keihan Main Line หรือ สถานี Kawaramachi ด้วยสาย Hankyu Kyoto Line ค่ะ

วัดกินคะคุจิ (Ginkaku-ji Temple)

( แผนที่)

วัดกินคะคุจิ (Ginkaku-ji Temple)

หากได้มาเยือนเมืองเกียวโต ก็ไม่ควรพลาดที่จะได้มีโอกาสเข้าชม วัดกินคะคุจิ (Ginkakuji Temple)หรือหลายคนรู้จักในชื่อของ “วัดเงิน” ที่อยู่ทางด้านตะวันออกของเมืองเกียวโต ถือเป็นวัดที่สงบร่มเย็น และเป็นสิ่งปลูกสร้างอีกแห่งที่แสดงถึงสถาปัตยกรรมอันงดงามของญี่ปุ่นในอดีตค่ะ และที่สำคัญคือวัดแห่งนี้สามารถรอดจากเหตุการณ์ไฟไหม้และเหตุแผ่นดินไหวมาได้อีกด้วยค่ะ เพราะความงดงามของวัดและประวัติความเป็นมาอันยาวนาน ทำให้วันกินคะคุจิได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมจากองค์การ UNESCO อีกด้วยค่ะ

วัดกินคะคุจิแห่งนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1482 ในยุคของท่านโชกุน อะชิคางะ (Ashikaga) เพื่อใช้เป็นที่พักอาศัย โดยมีต้นแบบในการก่อสร้างจาก วัดทอง” หรือ วัดคินคะคุจิ (Kinkakuji Temple)แต่ว่าตัวศาลาวัดนั้นเป็นสีน้ำตาลของไม้ ไม่เหมือนกับวัดคินคะคุจิที่มีศาลาวัดเป็นสีทองอร่ามนะคะ

สำหรับการเดินทางมายังวัดกินคะคุจินั้นสามารถนั่งรถบัสสาย 5 หรือ 17 จากสถานี Kyoto มาลงที่ป้าย Ginkakuji-michi หรือ นั่งรถบัสสาย 100 จากสถานี Kyoto มาลงที่ป้าย Ginkakuji-mae ค่ะ

วัดเอคันโด (Eikan-do Temple)

( แผนที่)

วัดเอคันโด (Eikan-do Temple)

อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในช่วงฤดูกาลของใบไม้เปลี่ยนสี ที่หลายคนคงเคยได้ยินและอยากจะมาสัมผัสด้วยตัวเอง ณ “วัดเอคันโด (Eikan-do Temple)หรือที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันในชื่อของ วัดเซ็นรินจิ (Zenrin-ji Temple)” เป็นวัดพุทธนิกายโจโด (Jodo) ที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงของเมืองเกียวโตอีกแห่งหนึ่ง

วัดเอคันโดสร้างขึ้นในสมัยของเฮอัน (Heian) ภายในวัดประกอบไปด้วยหลักที่สร้างบนเนินเขาและมีทางเดินไม้เชื่อมต่อกับอาคารอื่น ๆ สำหรับบริเวณด้านนอกก็จะพบกับเจดีย์ทาโฮโต (Tahoto) และสวนญี่ปุ่นโฮโจ (Hojo) ซึ่งเป็นแลนมาร์คสำคัญของวัดแห่งนี้เลยค่ะ หากใครมีโอกาสได้มาเที่ยวเมืองเกียวโตในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ก็ห้ามพลาดที่จะแวะมาที่วัดแห่งนี้นะคะ เพราะนักท่องเที่ยวสามารถมาชมใบไม้แดงได้ทั้งช่วงกลางวันและช่วงกลางคืนกันเลยทีเดียว

การเดินทางมายังวัดเอคันโดจากสถานี Kyoto มีหลายวิธีค่ะ เช่น การนั่งรถบัสสาย 5 มาลงที่ป้าย Nanzenji-Eikando-michi แล้วเดินประมาณ 3 นาที หรือนั่งรถบัสสาย 100  มาลงที่ป้าย Higashi-tenno-cho แล้วเดินประมาณ 5 นาที หรือจะนั่งรถไฟใต้ดินสาย Tozai Line มาลงที่สถานี Keage แล้วเดินต่อประมาณ 15 นาทีได้ค่ะ

เส้นทางนักปราชญ์ (Philosopher’s Path)

( แผนที่)

เส้นทางนักปราชญ์ (Philosopher's Path)

ถนนแห่งตำนานของนักปราชญ์ผู้บุกเบิก ซึ่งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันสวยงาม กลายมาเป็นเส้นทางสุดโรแมนติกและน่าค้นหากับ “เส้นทางนักปราชญ์ (Philosopher’s Path)เส้นทางนี้เป็นทางเดินที่อยู่เลียบคลอง ระหว่างวัด วัดกินคะคุจิ (Ginkakuji Temple), “วัดเอคันโด (Eikando Temple)และ “วัดนันเซ็นจิ (Nanzenji Temple)” โดยมีระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร สามารถเดินที่ยวโซนนี้ได้แบบชิล ๆ ค่ะ

ชื่อของ “เส้นทางนักปราชญ์” นั้นมีที่มาจากนักปราชญ์ชาวญี่ปุ่นนามว่า นิชิดะ คิทาโร่ (Nishida Kitaro) ท่านเคยใช้เส้นทางนี้ในการเดินทำสมาธิเพื่อไปยังมหาวิทยาลัยเกียวโตเป็นประจำในช่วงศตวรรษที่ 20 ปัจจุบันทางเดินนี้ก็ได้กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวติดอันดับต้น ๆ ของเมืองเกียวโตที่จะได้สัมผัสถึงบรรยากาศอันร่มรื่น เงียบสงบ ผ่อนคลายจิตใจไปกับธรรมชาติตลอดทาง และที่สำคัญในเส้นทางนี้ยังเต็มไปด้วยต้นซากุระหลายร้อยต้น ที่นี่จึงกลายเป็นจุดชมซากุระยอดนิยมอีกแห่งหนึ่งของเมืองเกียวโต และหากเดินสำรวจมาเรื่อย ๆ ก็จะเจอร้านกาแฟ ร้านอาหาร และร้านจำหน่ายของที่ระลึกอื่น ๆ มากมายค่ะ

ศาลเจ้าเฮอัน (Heian Shrine)

( แผนที่)

ศาลเจ้าเฮอัน (Heian Shrine)

ศาลเจ้านี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีประวัติความเป็นมาที่ไม่นานมากนักเหมือนกับที่อื่น ๆ เพราะเพิ่งสร้างเมื่อไม่กี่ปีนี่เอง แต่ก็มีเรื่องราวความสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเมืองเกียวโตโดยตรงค่ะ และที่นี่ก็คือศาลเจ้าเฮอัน (Heian Shrine) ซึ่งเป็นชื่อที่มาจากชื่อเก่าของเมืองเกียวโตนั่นเอง ศาลเจ้าเฮอันแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1985 ในโอกาสที่เมืองเกียวโตครบรอบ 1,100 ปี และเพื่อระลึกถึงองค์จักรพรรดิ์คามมุ (Emperor Kammu) และจักรพรรดิ์โคเมอิ (Emperor Komei) ซึ่งถือเป็นจักรพรรดิองค์แรกและองค์สุดท้ายของเมืองเกียวโตค่ะ

ศาลเจ้าเฮอันประกอบไปด้วยประตูเสาโทริอิสีแดงขนาดใหญ่มาก ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางถนนหน้าศาลเจ้า และเมื่อเข้ามาภายในจะพบกับตัวอาคารที่มีการจำลองมาจากพระราชวังอิมพีเรียลในสมัยเฮอันแต่จะมีขนาดเล็กกว่าของจริง และถัดมานั้นเราจะได้พบกับสวนสวยที่อยู่ด้านหลังของอาคาร ทำให้รู้สึกถึงความสงบ ร่มรื่น ที่มองไปรอบ ๆ จะเต็มไปด้วยต้นไม้หลากหลายชนิดในแบบสวนสไตล์ญี่ปุ่น และที่นี่ยังเป็นสถานที่ยอดฮิตของการชมซากุระในช่วงฤดูใบไม้ผลิอีกด้วยนะคะ

นักท่องเที่ยวสามารถนั่งรถบัสสาย 5 หรือ 100 จากสถานี Kyoto มาลงที่ป้าย Kyoto Kaikan Bijitusu-kan Maei แล้วเดินประมาณ 5 นาที หรือนั่งรถไฟใต้ดินสาย Tozai Line มาลงที่สถานี Higashiyama แล้วเดินต่ออีกประมาณ 15 นาทีค่ะ


– เกียวโตใต้ (Southern Kyoto) –

ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (Fushimi Inari Shrine)

( แผนที่)

ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (Fushimi Inari Shrine)

ดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ที่คนในอดีตเชื่อว่ามีเทพเจ้าสถิตอยู่ ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ห้ามพลาดเมื่อได้มาเยือนเมืองเกียวโต นั่นคือ ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (Fushimi Inari Shrine)หรือ ศาลเจ้าเทพอินาริซึ่งคนไทยส่วนใหญ่อาจรู้จักที่นี่ในชื่อของ ศาลเจ้าจิ้งจอกขาว

ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริเป็นศาลเจ้าที่มีอายุมากกว่าพันปีมาแล้ว นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 711 เป็นต้นมา นักท่องเที่ยวจะสังเกตเห็นว่าภายในศาลเจ้ามีรูปปั้นและสัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับสุนัขจิ้งจอกอยู่เต็มไปหมด ซึ่งคนญี่ปุ่นในอดีตเชื่อกันว่า สุนัขจิ้งจอกเป็นสัตว์นำสาสน์ของเทพเจ้า สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้

จุดเด่นของศาลเจ้าแห่งนี้ที่ต้องมาชมก็คือ อุโมงค์ประตูเสาโทริอิสีแดงที่เรียงรายอยู่กว่าหมื่นต้นซึ่งมาจากการบริจาคของผู้ที่ศรัทธาในเทพเจ้าของที่นี่ โดยมีการจารึกชื่อผู้บริจาคอยู่ด้านหลังเสาแต่ละต้น จนกลายมาเป็นทางให้เดินลอดอย่างสวยงามตระการตาด้วยระยะทาง 4 กิโลเมตร จนใครหลายคนเรียกที่นี่ว่า ศาลเจ้าเสาแดง และที่นี่ยังเคยถูกโหวตให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตอันดับ 1 ของญี่ปุ่นโดยนักท่องเที่ยวต่างชาติมาแล้วด้วยนะคะ

การเดินทางมายังศาลเจ้าฟูชิมิอินาริค่อนข้างสะดวกเลยค่ะ เพราะสามารถนั่งรถไฟสาย JR Nara Line จากสถานี Kyoto มาลงที่สถานี Inari หรือนั่งรถไฟสาย Keihan Main Line มาลงที่สถานี Fushimi-Inari ก็ได้ค่ะ

บทความรีวิว

วัดโทจิ (To-ji Temple)

( แผนที่)

วัดโทจิ (To-ji Temple)

อีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่สำคัญของเมืองเกียวโตที่ใคร ๆ ก็รู้จักกันดีและอยากมาสัมผัสกับ วัดโทจิ (Toji Temple)เป็นวัดในนิกายชินงอน (Shingon) สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 794 นักท่องเที่ยวจะรู้จักวัดนี้เป็นอย่างดีเพราะว่ามีจุดเด่นอยู่ที่เจดีย์ห้าชั้นที่มีความสูงถึง 57 เมตร สร้างขึ้นโดยท่านโคโบ ไดชิ (Kobo Daishi) ในปี ค.ศ. 826 ตั้งโดดเด่นเป็นสง่าอยู่คู่กับเมืองเกียวโตแห่งนี้มาตั้งแต่ยุคต้น ๆ ค่ะ

วัดโทจิแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกขององค์การ UNESCO โดยภายในวัดประกอบไปด้วยโซนสำคัญๆ ได้แก่ อาคารหลักของวัด (Kondo Hall), อาคารสำหรับนั่งบรรยาย (Kodo Hall), อาคารที่พักผู้ก่อตั้ง (Miedo Hall), และในส่วนของพิพิธภัณฑ์ (Homotsukan Museum) และวัดแห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากสถานี Kyoto เลยค่ะ นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาเยี่ยมชมได้อย่างสะดวกสบาย ใช้เวลาเดินจากสถานีรถไฟประมาณ 15 นาทีค่ะ

วัดไดโกจิ (Daigo-ji Temple)

( แผนที่)

วัดไดโกจิ (Daigo-ji Temple)

อย่างที่ทราบกันดีว่าเกียวโตนั้นเคยเป็นเมืองหลวงเก่ามาก่อน ทำให้ที่นี่กลายเป็นแหล่งรวมประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ความเชื่อ และความศรัทธาของคนในอดีต โดยเฉพาะวัดต่าง ๆ ที่มีอยู่จำนวนมากอย่างที่ “วัดไดโกจิ (Daigoji Temple)เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 874 มีที่ตั้งอยู่บนภูเขาไดโกะซัง (Daigozan) อันศักดิ์สิทธิ์ เป็นวัดที่มีอาณาเขตกว้างขวางใหญ่โต ท่ามกลางภูเขา ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่

วัดไดโกจิแห่งนี้แบ่งออกเป็นโซนหลัก ๆ ได้แก่ ซันโบอิน (Sanboin), ชิโมะไดโงะ (ShimoDaigo) และ คามิไดโงะ (Kami-Daigo) จุดเด่นของที่วัดแห่งนี้ก็คือ “เจดีย์ห้าชั้น (Goju-no-to)” ความสูงอยู่ที่ 38 เมตร ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ที่สุดในเกียวโตที่รอดรอดพ้นจากเหตุการณ์ไฟไหม้ในช่วงสงคราม นอกจากนี้ก็ยังมี “หอเบนเทนโด (Bentendo)” ซึ่งตั้งอยู่อย่างโดดเด่นและสวยงามท่ามกลางสวนญี่ปุ่นและบ่อน้ำ เป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสียอดนิยมอีกแห่งของเมืองเกียวโตเลยค่ะ

วัดแห่งนี้สามารถเดินทางมาได้จากสถานี Kyoto โดยนั่งรถไฟ JR Kosei Line มาลงที่ Yamashina เพื่อเปลี่ยนเป็นรถไฟใต้ดินสาย Tozai Line มาลงที่สถานี Daigo แล้วเดินต่ออีกประมาณ 15 นาทีค่ะ

วัดเบียวโดอิน (Byodo-in Temple)

( แผนที่)

วัดเบียวโดอิน (Byodo-in Temple)

ท่องเที่ยวดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ที่มีความโดดเด่นทางด้านสถาปัตยกรรมและความสวยงามในเรื่องทัศนียภาพมากที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ณ “วัดเบียวโดอิน (Byodoin Temple)ที่นี่เป็นวัดเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงของเมืองอุจิ (Uji) ซึ่งสามารถเดินทางมาด้วยการนั่งรถไฟ JR Nara Line จากสถานี Kyoto มาลงทีสถานี Uji ใช้ประมาณ 30 นาทีเองค่ะ

วัดเบียวโดอินสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 998 เดิมเคยเป็นที่พำนักของฟูจิวาระ มิชินางะ (Fujiwara Michinaga) ซึ่งถือว่าเป็นขุนนางที่มีอิทธิพลอย่างมากในสมัยนั้น ภายหลังบุตรชายได้ปรับปรุงและบูรณะให้กลายเป็น “วัดเบียวโดอิน (Byodoin Temple)ในปี ค.ศ. 1053

ภายในวัดเบียวโดอินเป็นที่ตั้งของ “หอนกฟินิกซ์ (Hoodo)ที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปอมิตาภะ ตัวอาคารเป็นสีแดงและสร้างด้วยไม้ ล้อมรอบด้วยสระน้ำ ถ้าสังเกตดี ๆ จะเห็นรูปของวัดนี้อยู่ที่ด้านหลังของเหรีญ 10 เยน ด้วยความเก่าแก่ มีเสน่ห์ และงดงาม วัดเบียวโดอินจึงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การ UNESCO โดยนักท่องเที่ยวที่มาเยือนจะได้สัมผัสกับบรรยากาศอันเงียบสงบ ร่มรื่น และสวยงามของวัดแห่งนี้ ราวกับว่าอยู่บนสวงสวรรค์เลยทีเดียวค่ะ


– เกียวโตเหนือ (Northern Kyoto) –

วัดคินคะคุจิ (Kinkaku-ji Temple)

( แผนที่)

วัดคินคะคุจิ (Kinkaku-ji Temple)

หากใครเคยมีโอกาสได้ดูการ์ตูนเรื่อง “อิคคิวซัง เณรน้อยเจ้าปัญญา” ก็คงจะเคยเห็นหลาย ๆ ฉากที่มีวัดแห่งนี้อยู่ด้วย นั่นคือ วัดคินคะคุจิ (Kinkakuji Temple)หรือที่ใคร ๆ รู้จักกันในชื่อ “วัดทอง” ซึ่งเรียกกันตามอาคารหลักของวัดที่มีลักษณะเป็นสีทองเหลืองอร่ามตั้งโดดเด่นอยู่ท่ามกลางสระน้ำนั่นเองค่ะ สำหรับอาคารสีทองหลังนี้มีอยู่ 3 ชั้นด้วยกัน โดยชั้นแรกมีลักษณะเป็นพระราชวัง ชั้นสองเป็นแบบบ้านซามูไร และชั้นสามมีลักษณะเป็นแบบวัดเซนค่ะ

วัดคินคะคุจิเป็นวัดที่มีการออกแบบตามโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมที่งดงามของญี่ปุ่นค่ะ โดยมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โรคุองจิ (Rokuonji)” วัดแห่งนี้ถูกสร้างให้เป็นที่พำนักของท่านโชกุนอาชิคางะ โยชิมิสุ (Ashikaga Yoshimitsu) และอาคารหลาย ๆ ส่วนนั้นเคยถูกเผาทำลายในช่วงสงครามเมื่อปี ค.ศ. 1950 มาแล้ว จากนั้นได้มีการบูรณะก่อสร้างวัดขึ้นมาใหม่ในปี ค.ศ. 1955

หากใครได้มีโอกาสมาเที่ยวที่เกียวโต ก็ต้องไม่พลาดที่จะแวะมาชื่นชมความงามของวัดทองแห่งนี้เลยค่ะ โดยสามารถนั่งรถบัสสาย 101 หรือ 205 จากสถานี Kyoto มาลงที่ป้าย Kinkakuji-michi ได้ค่ะ

ศาลเจ้าคิฟุเนะ (Kifune Shrine)

( แผนที่)

ศาลเจ้าคิฟุเนะ (Kifune-jinja Shrine)

ความเชื่อในเรื่องของเทพเจ้าที่มีมาตั้งแต่อดีตของคนญี่ปุ่นนั้นยังคงมีอยู่มาจนถึงปัจจุบัน หากใครอยากจะขอพรในเรื่องของการงานหรือความรัก  “ศาลเจ้าคิฟุเนะ (Kifune Shrine)ในเมืองคิบุเนะ (Kibune) แห่งนี้ก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกหนึ่งแห่งที่อยากจะแนะนำสำหรับผู้ที่มีโอกาสได้มาเยือนเกียวโต

ศาลเจ้าคิฟุเนะเป็นศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่เคารพบูชาของผู้คน เอกลักษณ์อันโดดเด่นของที่นี่ คือ บันไดหินและโคมไฟสีแดงสดที่เรียงรายสวยงามตามแนวขั้นบันได คนส่วนใหญ่ที่มาสักการะศาลเจ้าแห่งนี้ก็เพื่อมาขอพรในเรื่องของการทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำให้ประสบความสำเร็จ และบางคนมาเพื่อขอพรในเรื่องความรักก็มีค่ะ เพราะมีตำนานเกี่ยวกับกวีหญิงในยุคเฮอันที่มีปัญหากับสามี จึงเดินทางมาขอพรที่ศาลเจ้าแห่งนี้และเกิดความสมหวังนั่นเองค่ะ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการเซียมซี ที่นี่ก็มีวิธีการที่พิเศษด้วยค่ะ คือ หลังจากที่เราได้รับใบเซียมซีแล้ว ก็ให้เอาไปลอยน้ำ จากนั้นคำทำนายจะปรากฎขึ้นมาให้เห็นอย่างน่าอัศจรรย์เลยค่ะ

ศาลเจ้าคิฟุเนะนั้นอยู่ไม่ไกลจากใจกลางเกียวโตเท่าไหร่ แต่ว่าต้องต่อรถกันหลายรอบหน่อย ถ้าเริ่มจากสถานี Kyoto ก็ให้นั่งรถไฟสาย JR Nara Line มาลงที่สถานี Tofukuji แล้วต่อรถไฟสาย Keihan Main Line มาที่สถานี Demachiyanagi จากนั้นให้เปลี่ยนเป็นสาย Eizan Electric Railway Kurama Line มาลงที่สถานี Kibuneguchi รวมใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง พอถึงตรงนี้แล้วสามารถเดินมายังศาลเจ้าก็ได้ โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที หรือนั่งรถบัสลงที่ป้าย Kibune แล้วเดินต่ออีก 5 นาทีค่ะ


– เกียวโตตะวันตก (Western Kyoto) –

อาราชิยาม่า (Arashiyama)

( แผนที่)

อาราชิยาม่า (Arashiyama)

หากนึกถึงโซนที่น่าท่องเที่ยวของญี่ปุ่นและมีความสวยงามทางด้านศิลปะวัฒนธรรมที่น่าหลงใหล อยากจะบอกเลยว่าต้องไม่พลาดที่จะแวะมาที่ “อาราชิยาม่า (Arashiyama)” เมืองเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองเกียวโต ที่นี่ขึ้นชื่อในเรื่องของวัด ศาลเจ้า ความสวยงามทางด้านธรรมชาติ หุบเขา แม่น้ำ และสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมายค่ะ

นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาอาราชิยาม่ามักจะมานั่ง “รถไฟสายโรแมนติก (Sagano Romantic Train)” และล่องเรือไปตามแม่น้ำโฮสึ (Hozu-gawa) สำหรับชมวิวกันค่ะ และอีกสถานที่ยอดนิยมจากนักท่องเที่ยวอย่างล้นหลามนั่นคือ เส้นทางป่าไผ่ (Bamboo Grove)” ซึ่งเป็นอีกสถานที่ยอดฮิตของอาราชิยาม่าก็ว่าได้ เส้นทางเดินนี้มีระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร ปกคลุมไปด้วยต้นไผ่สีเขียวอันร่มรื่นตลอดสองข้างทาง ชวนให้อยากเดินสูดบรรยากาศอันสดชื่นรื่นรมย์ และที่นี่ยังมีร้านจำหน่ายของที่ระลึกที่ผลิตจากต้นไผ่และสินค้าของท้องถิ่นเป็นหลักค่ะ

คนที่จะมาเที่ยวอาราชิยาม่า สามารถนั่งรถไฟสาย JR Sagano Line มาลงที่สถานี Saga-Arashiyama หรือนั่งสาย Hankyu Arashiyama Line มาลงที่สถานี Arashiyama แล้วเดินต่อไปยังสถานีที่ท่องเที่ยวอย่างเส้นทางป่าไผ่ได้โดยใช้เวลาประมาณ 10-15 นาทีค่ะ

วัดเท็นริวจิ (Tenryu-ji Temple)

( แผนที่)

วัดเท็นริวจิ (Tenryu-ji Temple)

เสน่ห์แห่งอารยธรรมชนชาติญี่ปุ่นที่ไม่เคยเลือนหายไปไหน แต่ยังคงความสง่างามไว้ให้ได้ชื่นชมกับ วัดเท็นริวจิ (Tenryuji Temple)ในโซนอาราชิยาม่า (Arashiyama)” วัดแห่งนี้อยู่ใกล้กับเส้นทางป่าไผ่ สามารถเดินมาได้เลยค่ะ

วัดเท็นริวจิเป็นวัดเซน นิกายรินไซ (Rinzai) สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1339 โดยท่านโชกุน อะชิคางะ ทาคาอูจิ (Ashikaga Takauji) เพื่ออุทิศให้แด่องค์จักรพรรดิโกะไดโกะ (Go-Daigo) ที่เสด็จสวรรคต วัดแห่งนี้ถือได้ว่าเป็น 1 ใน 5 วัดเซนที่มีความสำคัญอย่างมากของเมืองเกียวโต

ในช่วงสงครามพื้นที่ต่าง ๆ ภายในวัดเท็นริวจิได้ถูกเผาทำลายอย่างหนักจนได้รับความเสียหายหลายครั้ง ต่อมาในสมัยของเมจิได้มีการบูรณะปรับปรุงขึ้นมาใหม่และเปิดให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติได้เข้าชม โดยโซนหลัก ๆ ของวัดประกอบไปด้วย เรือนโฮโจ (Hojo), เรือนภาพวาด (Shoin), ห้องครัว (Kuri) และสวนโซเง็นจิ (Sogen-chi) สไตล์ญี่ปุ่นที่ออกแบบมาอย่างสวยงามเป็นธรรมชาติ และแน่นอนว่าที่นี่ก็ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกขององค์การ UNESCO แล้วค่ะ

อามาโนะฮาชิดาเตะ (Amanohashidate)

( แผนที่)

 อามาโนะฮาชิดาเตะ (Amanohashidate)

สถานที่ท่องเที่ยวชมธรรมชาติขึ้นชื่อที่ต้องมาให้รู้…และดูให้เห็นกับตา แล้วจะรู้ว่าที่นี่คือสวรรค์บนดินดี ๆ นี่เองสำหรับ “อามาโนะฮาชิดาเตะ (Amanohashidate)ในเมืองมิยาสึ (Miyazu) ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของจังหวัดเกียวโต

ที่นี่มีสันทรายยาวประมาณ 3.6 กิโลเมตร มีลักษณะเป็นรูปร่างคล้ายมังกรซึ่งทอดตัวอยู่ในทิศเหนือและใต้ในอ่าวมิยาซึ (Miyazu Bay) โดยมีจุดชมวิวที่ตั้งอยู่บนเขาของทั้ง 2 ฝั่ง สามารถขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์อันงดงามของทะเลโดยการนั่งแชร์ลิฟต์ขึ้นไปได้ ซึ่งวิวของที่นี่ก็ได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 3 ของวิวชายทะเลที่สวยที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วยค่ะ

ในอดีตคนญี่ปุ่นเชื่อกันว่าที่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยเทพเจ้า และมีการค้นพบโบราณวัตถุต่าง ๆ ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์อยู่เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ บริเวณสันทรายยังมีต้นสนน้อยใหญ่ขึ้นอยู่เป็นจำนวนมากกว่า 8,000 ต้นเลยทีเดียว ซึ่งเหมาะแก่การเดินเที่ยวหรือปั่นจักรยานชมความงามของธรรรมชาติ หรือจะใช้บริการเรือเฟอร์รี่ข้ามฝั่งไปก็ได้ สามารถเพลิดเพลินกันไปอีกแบบ

คนที่จะเดินทางมาเที่ยวอามาโนะฮาชิดาเตะ สามารถนั่งรถไฟด่วนขบวน HASHIDATE จากสถานี Kyoto วิ่งตรงมาที่สถานี Amanohashidate ได้เลยค่ะ ใช้เวลาประมาณ 120 นาที หรือไม่ก็นั่งรถไฟของ JR มาเปลี่ยนสายที่สถานี Fukuchiyama แล้วต่อรถไฟของ Kyoto Tango Railway มายังสถานี Amanohashidate ก็ได้ค่ะ

สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองเกียวโตนั้นมีอีกหลายแห่งเลยนะคะ ถ้าจะท่องเที่ยวในเมืองนี้ แนะนำว่าควรให้เวลาสัก 2 วันเป็นอย่างน้อย เราสามารถพักในเมืองได้ ถ้าอยากสัมผัสบรรยากาศแบบญี่ปุ่นแท้ ๆ ก็เลือกที่พักแบบเรียวกัง หรือจะพักที่โอซาก้าซึ่งเป็นเมืองจุดศูนย์กลางของคันไซแล้วนั่งรถไฟมาเที่ยวที่เกียวโตก็ได้นะคะ สะดวกไม่แพ้กันค่ะ


บทความท่องเที่ยวแนะนำ

บทความที่เกี่ยวข้อง