เมืองโยโกฮาม่า (Yokohama) เป็นเมืองหลักของจังหวัดคานากาว่า (Kanagawa) โดยอยู่ห่างจากใจกลางโตเกียว (Tokyo) ในภูมิภาค (Kanto) มาประมาณ 30 กิโลเมตร จึงเป็นเมืองที่ได้รับความนิยมสำหรับคนที่อยากท่องเที่ยวรอบโตเกียวค่ะ
สำหรับเมืองโยโกฮาม่านั้น เรียกได้ว่าเป็นเมืองท่าที่มีความทันสมัยและมีวิวที่สวยงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงกลางคืนที่จะมีการเปิดไฟหลากสีสัน
12 สถานที่ท่องเที่ยวในโยโกฮาม่าที่ห้ามพลาด!
สวนสนุกโยโกฮาม่า คอสโม่เวิล์ด (Yokohama Cosmo World)
( แผนที่)
สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของใครหลายคน เมื่อได้มาเยือนเมืองท่าอย่างโยโกฮาม่าแห่งนี้ ไม่ว่าจะเด็กเล็ก เด็กโต หรือจะมาเที่ยวกันได้ทั้งครอบครัวกับ “สวนสนุกโยโกฮาม่า คอสโม่เวิล์ด (Yokohama Cosmo World)” เป็นสวนสนุกสุดมันส์ที่ตั้งอยู่ในย่านมินาโตะมิไร (Minato Mirai) ของเมืองโยโกฮาม่านี้เองค่ะ
สวนสนุกโยโกฮาม่า คอสโม่เวิล์ดนั้นมีพื้นที่ครอบคลุมทั้งหมดกว่า 20,000 ตารางเมตร ถือว่าเป็นสวนสนุกที่ไม่ใหญ่โตมากนัก แต่ก็ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาไม่น้อยเลยทีเดียว โดยภายในสวนสนุกแห่งนี้แบ่งออกเป็น 3 โซนหลัก ๆ อันได้แก่ Wonder Amaze (โซนเครื่องเล่นหวาดเสียว), Kid Carnival (โซนเครื่องเล่นเด็ก) และที่ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่งกับ Burano Street (โซนบ้านผีสิงและเมืองน้ำแข็ง)
และไฮไลท์ของงานนี้ก็คือ ชิงช้ายักษ์ “Cosmo Clock 21″ ที่ตั้งโดดเด่น มองเห็นมาแต่ไกล มีเส้นผ่าศูนย์กลางอยู่ที่ 112.5 เมตร ภายในกระเช้าสามารถจุคนได้ 4 คน และใช้เวลาประมาณ 15 นาทีในการหมุน 1 รอบค่ะ ถ้ามาช่วงกลางคืนก็จะได้เห็นแสงสีอันตระการตาของเจ้าชิงช้าสวรรค์นี้อีกด้วย ว่ากันว่าเจ้าชิงช้ายักษ์นี้ก็เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมืองโยโกฮาม่าเลยก็ว่าได้นะคะ
สวนสนุกแห่งนี้มีการเดินทางที่สะดวกสบายด้วยรถไฟมาลงยังสถานี Minatomirai (Minatomirai Line) แล้วเดินต่ออีก 2 นาที หรือจากสถานี Sakuragicho (JR Nigishi Line หรือ Yokohama Municipal Subway Blue Line) แล้วเดินต่ออีก 10 นาทีค่ะ
อาคารโกดังอิฐแดงโยโกฮาม่า (Yokohama Red Brick Warehouses)
( แผนที่)
แหล่งช็อปปิ้งซึ่งตั้งอยู่ริมอ่าวสุดชิคที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว และกลายเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คสำคัญที่ไม่ควรพลาด! หากได้มาเยือนเมืองโยโกฮาม่า นั่นคือ “อาคารโกดังอิฐแดง (Yokohama Red Brick Warehouses)” หรือที่หลายคนเรียกว่า “Akarenga Soko” เป็นอาคาร 2 หลังที่ออกแบบในสไตล์ยุโรป สร้างด้วยอิฐแดง
ในอดีตอาคารเหล่านี้ถูกใช้เป็นโกดังสำหรับจัดเก็บสินค้าส่งออกและสินค้านำเข้าของศุลกากร ปัจจุบันได้มีการปรับปรุงและพัฒนาให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งช็อปปิ้งยอดนิยมของเมืองนี้ไปแล้ว
ภายในอาคารโกดังอิฐแดงก็จะประกอบไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร ร้านเสื้อผ้า ร้านคาเฟ่ ร้านจำหน่ายของที่ระลึก และอื่นๆให้เลือกซื้อกันมากมายค่ะ และหากใครได้มีโอกาสมาเที่ยวที่เมืองนี้ในช่วงเทศกาลคริสต์มาส ในทุก ๆ ปีที่นี่เค้าก็มีการจัดงานที่มีชื่อว่า Christmas Market ที่รวบรวมบรรดาร้านค้ามากมาย รวมไปถึงการประดับประดาตกแต่งไฟแสงสีตามสถานที่ต่าง ๆ อย่างสวยงาม
สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาเที่ยวอาคารโกดังอิฐแดงก็สามารถเลือกใช้บริการรถไฟได้เลยค่ะ โดยสถานีที่ใกล้ที่สุดคือ สถานี Bashamichi (Minatomirai Line) หรือจะลงที่สถานี Sakuragicho (JR Nigishi Line หรือ Yokohama Municipal Subway Blue Line) ค่ะ
ท่าเรือโอซันบาชิ (Osanbashi Pier)
( แผนที่)
สถานที่ยอดนิยมของหนุ่มสาว หรือคู่รัก ที่มักพากันมาพักผ่อนหรือเดินเล่นกันที่นี่ ก็เพราะเป็นอีกหนึ่งสถานที่สุดชิลล์ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์หรือจะเป็นช่วงเย็นเพื่อมานั่งดูพระอาทิตย์พร้อมวิวสวยๆ ณ “ท่าเรือโอซันบาชิ (Osanbashi Pier)” เป็นท่าเรือที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองโยโกฮาม่า ตั้งอยู่ระหว่างย่าน Minato Mirai และสวนยามาชิตะ (Yamashita Park)
ในอดีตท่าเรือโอซันบาชิ เคยเป็นท่าเรือเล็ก ๆ ของหมู่บ้านชาวประมงที่อาศัยอยู่ในละแวกนั้น โดยมีการเปิดใช้งานครั้งแรกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1894 แต่กลับมีความสวยงามและทันสมัยอย่างมาก เนื่องจากท่าเรือแห่งนี้ได้ถูกปรับปรุงและซ่อมแซมอยู่หลายครั้ง ด้วยสถาปัตยกรรมด้านการออกแบบให้มีความโดดเด่น มีความเป็นสากล เลือกใช้วัสดุที่มีความหลากหลายอย่างไม้ เหล็ก และกระจก เข้ากันได้อย่างลงตัว เพราะความยิ่งใหญ่อลังการจึงทำให้ท่าเรือแห่งนี้ได้รับรางวัลการออกแบบสถาปัตยกรรมยอดเยี่ยมระดับโลกของ Worldwide Award ในปีค.ศ. 2004 อีกด้วยนะคะ
ปัจจุบันท่าเรือโอซันบาชิ แห่งนี้ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวรวมถึงจุดชมวิวยอดนิยมของชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติที่ได้แวะเวียนมาที่เมืองโยโกฮาม่าไปแล้วนั่นเองค่ะ นักท่องเที่ยวสามารถเข้ามาเดินเที่ยวภายในท่าเรือได้แบบไม่ต้องเสียค่าเข้า สำหรับการเดินทางมาที่นี่สามารถเลือกใช้บริการรถไฟมาลงที่สถานี Nihon-Odori (Minatomirai Line) แล้วเดินต่ออีกประมาณ 5 นาทีค่ะ
สกายการ์เด้น โยโกฮาม่าแลนด์มาร์คทาวเวอร์ (Yokohama Landmark Tower “Sky Garden”)
( แผนที่)
ที่สุดของสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งในเมืองโยโกฮาม่า ที่ใครหลายคนอยากจะแวะมาเยี่ยมเยียนกันสักครั้ง และที่นี่ก็เป็นที่เที่ยวที่ได้รับความนิยมจากเหล่านักช็อป และจุดชมวิวยามค่ำคืนกับ “สกายการ์เด้น โยโกฮาม่าแลนด์มาร์คทาวเวอร์ (Yokohama Landmark Tower “Sky Garden”)” ถือเป็นจุดชมวิวยอดนิยมที่ตั้งอยู่บนชั้น 69 ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 70 ชั้น ภายนอกอาคารดูโดดเด่น แปลกตา แต่ภายในอาคารมีความสวยงามและดูทันสมัย ถือว่าเป็นตึกที่สูงที่สุดในเมืองโยโกฮาม่าเลยล่ะค่ะ
นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมความสวยงามของวิวเมืองโยโกฮาม่าได้แบบ 360 องศากันเลยทีเดียว และสามารถขึ้นไปที่จุดชมวิวแห่งนี้โดยเลือกใช้ลิฟต์ความเร็วสูงที่มีความเร็วอยู่ที่ 750 เมตรต่อนาทีค่ะ ถ้าวันไหนที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งไร้เมฆหมอกก็จะมีโอกาสมองเห็นคาบสมุทรอิซุ, เกาะอิซุโอชิมะ, โตเกียวทาวเวอร์, โตเกียวสกายทรี และภูเขาไฟฟูจิได้อีกด้วยนะคะ
ภายในอาคารโยโกฮาม่าแลนด์มาร์คทาวเวอร์แห่งนี้ยังเป็นที่ตั้งของโรงแรม 5 ดาว ห้างสรรพสินค้า ภัตตาคาร รวมถึงร้านจำหน่ายสินค้าและบริการอื่น ๆ อีกมากมาย นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาที่นี่โดยเลือกใช้บริการรถไฟมาลงที่สถานี Minatomirai (Minatomirai Line) หรือ สถานี Sakuragicho (JR Nigishi Line หรือ Yokohama Municipal Subway Blue Line) ค่ะ แล้วเดินต่ออีกประมาณ 10 นาทีค่ะ
โยโกฮาม่ามารีน ทาวเวอร์ (Yokohama Marine Tower)
( แผนที่)
เมืองแห่งสีสันอย่างโยโกฮาม่ายังมีจุดชมวิวมุมสูงอีกแห่งซึ่งเราสามารถขึ้นไปชื่นชมความสวยงามของเมืองนี้ได้อย่างกว้างขวางสุดลูกหูลูกตากับ “โยโกฮาม่ามารีน ทาวเวอร์ (Yokohama Marine Tower)” ถือว่าเป็นสัญลักษณ์สำคัญที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดอีกแห่งหนึ่งของที่นี่เลยละค่ะ
โยโกฮาม่ามารีน ทาวเวอร์เป็นหอคอยสังเกตการณ์ที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1961 โดยมีความสูงอยู่ที่ 106 เมตร มีวัตถุประสงค์ในการจัดสร้างเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองในวาระครบ 100 ปีด้านการเปิดใช้งานท่าเทียบเรือของเมืองโยโกฮาม่า จากจุดชมวิวด้านบนสามารถมองเห็นสถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียงอย่าง อาคารโกดังอิฐแดง (Yokohama Red Brick Warehouses), ชิงช้ายักษ์ (Cosmo Clock 21), ท่าเรือโอซันบาชิ (Osanbashi) และวิวอ่าวโยโกฮาม่าได้แบบพาโนราม่ากันเลยค่ะ
ในช่วงเวลากลางคืนที่หอคอยโยโกฮาม่ามารีน ทาวเวอร์แห่งนี้จะมีการเปิดไฟแสงสีที่คอยส่องสว่างอย่างงดงามท่ามกลางความมืดที่ล้อมรอบด้วยอ่าวแห่งนี้ และภายในหอคอยแห่งนี้ นอกจากจะมีจุดชมวิวสวยๆ แล้ว ที่นี่ยังมีร้านค้า ร้านอาหาร และร้านจำหน่ายของที่ระลึกไว้บริการนักท่องเที่ยวอีกด้วยค่ะ สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาที่นี่สามารถเลือกใช้บริการรถไฟมาลงที่สถานี Motomachi-Chukagai (Minatomirai Line) จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 2 นาทีเท่านั้นค่ะ
สวนยามาชิตะ (Yamashita Park)
( แผนที่)
บรรยากาศสุดแสนโรแมนติกที่เหมาะอย่างยิ่งแก่การเดินเที่ยวชมความสวยงามของอ่าวโยโกฮาม่า ท่ามกลางดอกไม้หลากหลายสายพันธุ์ที่ให้ความรู้สึกสดชื่นคอยเบ่งบานต้อนรับผู้ที่มาเยือน ณ “สวนยามาชิตะ (Yamashita Park)” สวนสาธารณะที่ตั้งอยู่บริเวณรอบท่าเรืออ่าวโยโกฮาม่า ฝั่งตรงข้ามกับ “โยโกฮาม่ามารีน ทาวเวอร์ (Yokohama Marine Tower)“ นี่เองค่ะ
สวนยามาชิตะเปิดให้บริการในปี ค.ศ. 1930 โดยมีวัตถุประสงค์ในการสร้างเพื่อระลึกถึงเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเขตคันโต (Great Kanto Earthquake) เมื่อปี ค.ศ. 1923 ภายในสวนแห่งนี้ได้มีการเนรมิตให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและสถานที่พักผ่อนหย่อนใจสำหรับผู้ที่อยู่ในเมืองโยโกฮาม่าหรือผู้ที่สัญจรไปมาได้แวะเวียนเข้ามาผ่อนคลายร่างกายและจิตใจกันค่ะ รอบ ๆ สวนจะเต็มไปด้วยสวนดอกไม้นานาพันธุ์ น้ำพุ อนุสาวรีย์ และรูปปั้นอีกหลายจุด
ใกล้ ๆ กับสวนแห่งนี้จะเห็นว่ามีเรือเดินสมุทรลำใหญ่จอดเทียบท่าอยู่มีชื่อว่า “เรือฮิคาว่ามารุ (Hikawa Maru)“ ซึ่งเป็นเรือเดินสมุทรที่ใช้งานครั้งแรกในปี ค.ศ. 1930 สำหรับเดินทางระหว่างเมืองโยโกฮาม่าเพื่อไปยังเมืองแวนคูเวอร์ (Vancouver) ประเทศแคนาดา และเมืองซีเอตเทิล (Seattle) ประเทศสหรัฐอเมริกา หลังจากนั้นไม่นานในปี ค.ศ.1960 ได้ถูกดัดแปลงและตกแต่งให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์สำหรับจัดแสดงสิ่งของต่าง ๆ ภายในห้องโดยสารเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาเยี่ยมชมค่ะ
ย่านไชน่าทาวน์โยโกฮาม่า (Yokohama Chinatown)
( แผนที่)
ญี่ปุ่นถือว่าเป็นประเทศที่มีผู้คนหลากหลายเชื้อชาติอาศัยอยู่ อย่างคนเชื้อสายจีนซึ่งส่วนใหญ่มักจะอยู่ในย่านนางาซากิ โกเบ และ “ย่านไชน่าทาวน์โยโกฮาม่า (Yokohama Chinatown)” ถือเป็นหนึ่งในสามย่านการค้าที่มีคนจีนอาศัยอยู่นับตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันเป็นจำนวนมาก จะเห็นได้ว่าบริเวณทางเข้ามีประตูยักษ์ (Paifang) ซึ่งเป็นซุ้มประตูทางเข้าที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาประตูทั้ง 10 ของย่านนี้ และมีประตูแบบจีนอีก 9 แห่งที่ตั้งอยู่บริเวณทางเข้าตามถนนต่าง ๆ ตามหลักฮวงจุ้ยของชาวจีนค่ะ
อย่างที่ทราบกันดีแล้วว่าโยโกฮาม่านั้นเคยเป็นเมืองท่าที่สำคัญของญี่ปุ่น ทำให้บรรดาพ่อค้าจากเมืองจีนได้มาติดต่อทำการค้า และตั้งรกรากอยู่ที่เมืองแห่งนี้เป็นต้นมา จะเห็นได้ตามตรอกซอกซอยก็จะเต็มไปด้วยเหล่าร้านค้า ร้านอาหาร ภัตตาคารจีน มากกว่า 600 ร้านเลยทีเดียว
ส่วนอาคารบ้านเรือนก็จะคล้าย ๆ กับเยาวราชบ้านเราเลยค่ะ แน่นอนว่าเรื่องกินเรื่องใหญ่มากกก…หากผ่านมาแถวนี้ก็ต้องแวะมาหาของกินกันสักหน่อยแล้ว! เพราะว่าเค้ามีอาหารให้เลือกทานกันอย่างหลากหลายอย่าง ติ่มซำ เกาลัดคั่ว ฮะเก๋า และเมนูยอดนิยมอื่น ๆ อีกมากมาย ให้ได้เลือกซื้อกันแบบเพลิดเพลินใจตลอดทาง
สำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากจะมาเที่ยวย่านนี้สามารถใช้บริการรถไฟมาลงที่สถานี Motomachi-Chukagai (Minatomirai Line) หรือ สถานี Ishikawa-cho (JR Nigishi Line) ค่ะ แล้วเดินต่ออีกประมาณ 10 นาทีค่ะ
ถนนช็อปปิ้งโมโตมาจิ (Motomachi Shopping Street)
( แผนที่)
เอาใจสายช็อป! ที่ชื่นชอบการสัมผัสบรรยากาศและกลิ่นอายที่เหมือนกับว่ามาเดินชิลล์อยู่แถวยุโรป แต่ขอบอกเลยว่าที่นี่เค้าไม่ธรรมดาเลยกับ “ถนนช็อปปิ้งโมโตมาจิ (Motomachi Shopping Street)” ถือเป็นอีกย่านช็อปปิ้งสุดปัง! ที่ไม่ควรพลาดเมื่อได้มาเยือนเมืองท่าอย่างโยโกฮาม่า เพราะที่นี่ถือเป็นแหล่งช็อปปิ้งยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติที่แวะเวียนเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย
ส่วนบรรยากาศภายในถนนช็อปปิ้งโมโตมาจิจะเป็นแนวยุโรปตะวันตกเป็นส่วนใหญ่ค่ะ เนื่องจากในอดีตย่านนี้เคยเป็นที่อยู่อาศัยของชาวตะวันตกที่เข้ามาทำการค้ากับชาวญี่ปุ่นในสมัยเอโดะ สังเกตได้จากอาคารบ้านเรือน สุสาน โบสถ์ และโรงเรียน ที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกแทบทั้งสิ้นที่มีการอนุรักษ์ไว้ให้เหมือนเดิม
นักท่องเที่ยวสามารถเดินจับจ่ายซื้อสินค้าได้อย่างเพลิดเพลิน โดยมีทั้งร้านจำหน่ายสินค้าที่เป็นแบรนด์ชั้นนำมากมายอย่าง ร้านขายรองเท้า ร้านเสื้อผ้าแฟชั่น รวมถึงภัตตาคาร ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ที่มีให้เห็นกันตลอดทาง สำหรับใครที่อยากจะมาเดินช็อปปิ้งที่ย่านนี้สามารถนั่งรถไฟมาลงที่สถานี Motomachi-Chukagai (Minatomirai Line) จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 10 นาทีค่ะ
พิพิธภัณฑ์บะหมี่ถ้วยโยโกฮาม่า (Yokohama Cup Noodles Museum)
( แผนที่)
พบกับสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของเด็ก ๆ และครอบครัวที่เป็นทั้งแหล่งเรียนรู้และสร้างความเพลิดเพลินได้อย่างดีทีเดียว ที่เราอยากจะแนะนำในวันนี้คือ “พิพิธภัณฑ์บะหมี่ถ้วย (Cup Noodles Museum)” พิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของบริษัทนิสชิน ฟูดส์ โฮลดิ้ง (Nissin Foods Holdings) สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1958 ปัจจุบันเปิดให้บริการแก่นักท่องเที่ยวได้เข้ามาเรียนรู้ประวัติศาสตร์และประวัติความเป็นมาของคุณ Ando Momofuku ซึ่งเป็นผู้ที่คิดค้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปคนแรกของโลกนั่นเองค่ะ
ภายในพิพิธภัณฑ์ก็จะแบ่งเป็นโซนต่าง ๆ นับตั้งแต่โซนการคิดค้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โซนกรรมวิธีการผลิต โซนจัดแสดงผลิตภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่มาจากทั่วทุกมุมโลก และที่สำคัญพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังเปิดให้นักท่องเที่ยวได้ลองฝึกทำบะหมี่ถ้วยเป็นของตัวเอง แต่อาจจะต้องทำการจองคิวล่วงหน้ากันนิดนึงค่ะ ต่อมาจะเป็นโซนหัดทำราเมนที่เริ่มตั้งแต่การนวด และปิดท้ายกันด้วยโซนที่รวมเอาร้านบะหมี่นานาชาติจากหลากหลายที่มาไว้ที่นี่
ไม่ผิดหวังแน่นอนสำหรับใครที่มีโอกาสได้เข้ามาสัมผัสบรรยากาศการเรียนรู้ ณ ที่พิพิธภัณฑ์บะหมี่ถ้วยแห่งนี้ ได้เพลิดเพลินกับกิจกรรมต่าง ๆ ได้ตลอดทั้งวันค่ะ สำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากจะเดินทางมาที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้สามารถใช้บริการรถไฟมาลงที่สถานี Minatomirai หรือ Bashamichi (Minatomirai Line) แล้วเดินต่ออีกประมาณ 10 นาทีค่ะ
พิพิธภัณฑ์ชินโยโกฮาม่าราเม็ง (Shin-yokohama Ramen Museum)
( แผนที่)
เด็กเส้นอย่างเราต้องไม่พลาดดด! หลังจากที่ได้ลองทำบะหมี่ถ้วยกันที่ “พิพิธภัณฑ์บะหมี่ถ้วยโยโกฮาม่า (Yokohama Cup Noodles Museum)” กันแว้วว…เราก็จะมาต่อกันเลยที่ “พิพิธภัณฑ์ชินโยโกฮาม่าราเม็ง (Shin-yokohama Ramen Museum)” พิพิธภัณฑ์ราเม็งที่ถือกำเนิดขึ้นในปี ค.ศ. 1994 โดยได้แนวคิดริเริ่มมาจากคุณ Yoji Iwaoka ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่คอยบอกเล่าเรื่องราวและประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่เกี่ยวข้องกับราเม็งชนิดต่างๆ ตั้งแต่ยุคอดีตจนถึงยุคปัจจุบัน
เมื่อเข้าสู่ภายในพิพิธภัณฑ์ เราก็จะได้พบกับนิทรรศการที่จัดแสดงข้อมูลความรู้เรื่องราเม็งนับตั้งแต่วัตถุดิบ น้ำซุป วิธีการทำเส้น เครื่องมือในการผลิต ไปจนถึงอุปกรณ์ที่ใช้ในการกินราเม็ง เรียกว่าครบทุกสิ่งอย่างที่ได้รวบรวมเอาไว้ให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาศึกษาเรียนรู้กันตามอัธยาศัย และภายในก็ยังมีร้านจำหน่ายของที่ระลึกไว้ให้ได้เลือกซื้อกันด้วยนะคะ
จากนั้นเราก็จะลงมาที่ชั้นใต้ดินของพิพิธภัณฑ์ราเม็งแห่งนี้ ซึ่งจะได้สัมผัสกับบรรยากาศความเป็นวินเทจในแบบที่เป็นญี่ปุ่นดั้งเดิมจากชิตามาชิ (Shitamachi) ซึ่งเป็นเมืองเก่าแก่ที่สุดของโตเกียว และเนรมิตให้กลายเป็นเมืองราเม็งที่เต็มไปด้วยร้านดังของแต่ละภูมิภาคถึง 9 ร้านมาไว้ที่นี่ที่เดียวเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เลือกทานกันตามความพอใจ ต้องบอกเลยว่าไม่ผิดหวังอย่างแน่นอนเพราะเค้าคัดมาแล้วว่าดีจริง! สำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากจะเดินทางมาที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้สามารถใช้บริการรถไฟลงที่สถานี Shin-Yokohama (JR Yokohama Line, Tokaido Shinkansen, Yokohama Municipal Subway Blue Line) จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 10 นาทีค่ะ
โยโกฮามา ฮักเกจิมา ซีพาราไดซ์ (Yokohama Hakkeijima Sea Paradise)
( แผนที่)
ศูนย์รวมความบันเทิงของคนทุกเพศทุกวัย ที่นักท่องเที่ยวจะได้มาสัมผัสและใกล้ชิดกับสัตว์น้ำแสนน่ารักอย่างอบอุ่น รวมไปถึงสวนสนุกสุดมันส์ที่จะทำให้คุณตื่นเต้นเร้าใจไปกับเครื่องเล่นหลากหลายชนิดที่ “โยโกฮามา ฮักเกจิมา ซีพาราไดซ์ (Yokohama Hakkeijima Sea Paradise)” เป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำและสวนสนุกที่ตั้งอยู่บนเกาะเล็ก ๆ ทางตอนใต้ของเมืองโยโกฮาม่า โดยมีพื้นที่ประมาณ 240,000 ตร.ม.
ที่โยโกฮามา ฮักเกจิมา ซีพาราไดซ์ได้เปิดให้บริการแก่นักท่องเที่ยวตั้งแต่ปี ค.ศ. 1993 เป็นต้นมา ภายในแบ่งออกเป็น 4 โซนหลักๆ ได้แก่ Aqua Museum (โซนพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำในร่ม), Fureal Lagoon (โซนที่จะได้สัมผัสกับสัตว์น้ำอย่างใกล้ชิด), Umi Farm (โซนที่จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับทะเล และสามารถทดลองจับปลาได้), Dolphin Fantasy (โซนการแสดงปลาโลมา)
และที่อยู่ไม่ไกลจากพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำก็จะเป็นที่ตั้งของโซน Pleasure Land ที่มีเครื่องเล่นสุดมันส์ให้เลือกเล่นกันอย่างเพลิดเพลิน รวมไปถึงแหล่งช็อปปิ้ง ร้านค้า ร้านอาหาร ร้านจำหน่ายของที่ระลึก และโรงแรมอีกด้วยค่ะ สำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากจะเดินทางมาที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งนี้สามารถใช้บริการรถไฟมาลงที่สถานี Hakkeijima (Seaside Line) แล้วเดินต่ออีกประมาณ 10 นาทีค่ะ
สวนซันเคเอ็น (Sankei-en Garden)
( แผนที่)
เชิญท่านมาสัมผัสความร่มรื่นและสีสันของต้นไม้ใบหญ้าที่ถูกตกแต่งไว้อย่างงดงามที่มีให้ได้ชมกันตลอดฤดูกาล และผ่อนคลายไปกับความโรแมนติกในแบบฉบับความเป็นญี่ปุ่นดั้งเดิม ณ “สวนซันเคเอ็น (Sankei-en Garden)” ถือว่าเป็นสวนสวยสไตล์ญี่ปุ่นในแบบดั้งเดิมที่มีขนาดใหญ่ด้วยพื้นที่กว่า 175,000 ตารางเมตร ในอดีตสวนแห่งนี้สร้างขึ้นโดยคุณ Hara Sankei ซึ่งมีอาชีพเป็นพ่อค้าผ้าไหมที่มีฐานะมั่งคั่งในสมัยนั้น
ปัจจุบันสวนซันเคเอ็นแห่งนี้ได้เปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ภายในจะประกอบไปด้วย บ้านโบราณและอาคารเก่าแก่ สระน้ำ ลำธาร และสวนสวยสไตล์ญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยต้นไม้ ดอกไม้ หลากหลายสายพันธุ์ที่ได้รับการตกแต่งดูแลไว้อย่างดี ทำให้นักท่องเที่ยวที่เข้ามาที่สวนแห่งนี้ได้สัมผัสกับบรรยากาศความสวยงาม กลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นดั่งเดิม และความเพลิดเพลินในระหว่างเดินเที่ยวชมสวนที่มีขนาดกว้างใหญ่
ที่นี่ก็ยังมีการสอนวิธีการชงชาสำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจอีกด้วยค่ะ ถือเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นที่อยากจะถ่ายทอดไปสู่นักท่องเที่ยวให้ได้เรียนรู้ ยิ่งทำให้เรารู้สึกเหมือนได้ย้อนอดีตกลับไปในยุคโบราณทีเดียวเชียว สำหรับการเดินทางมาที่สวนแห่งนี้ โดยเริ่มจากสถานี Yokohama จากนั้นให้ขึ้นรถบัสที่ Platform No.1 รถหมายเลข 58, 99 หรือ 101 เพื่อมาลงที่ป้าย Honmoku และเดินต่ออีกประมาณ 10 นาทีค่ะ
ส่งท้าย
สถานที่ท่องเที่ยวในโยโกฮาม่าที่ยกมานี้ ส่วนใหญ่แล้วก็อยู่ใกล้ๆ กันค่ะ สามารถเดินถึงกันได้ตั้งแต่ย่านมินาโตะมิไร (Minato Mirai) ผ่านสวนยามาชิตะ (Yamashita Park) จนมาถึงย่านโมโตมาจิ (Motomachi) สำหรับคนที่มีเวลาน้อยก็แนะนำให้เที่ยวตามเส้นทางนี้เลยค่ะ
บทความท่องเที่ยวแนะนำ
- สถานที่ท่องเที่ยวในโตเกียว (Tokyo) ที่ต้องมา Check-in!
- สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองนิกโก (Nikko) ที่ต้องมา Check-in!
- สถานที่ท่องเที่ยวรอบทะเลสาบคาวากุจิโกะ (Kawaguchiko) ที่ต้องมา Check-in!
- ของฝากจากญี่ปุ่น…ไปญี่ปุ่นซื้ออะไรดี?