กิโมโน (Kimono) เป็นชุดแต่งกายประจำชาติของญี่ปุ่น เป็นชุดโบราณที่สะท้อนวิถีชีวิตและวัฒนธรรมดั้งเดิม จึงมีความสวยงามและเสน่ห์ที่นักท่องเที่ยวต่างหลงใหลจนอยากลองใส่ชุดกิโมโนดูสักครั้ง ซึ่งปัจจุบันการใส่ชุดกิโมโนระหว่างเที่ยวญี่ปุ่นเป็นสิ่งที่นิยมอย่างมากค่ะ แน่นอนว่าย่านที่เราจะได้เห็นคนแต่งชุดกิโมโนกันก็มักจะเป็นย่านที่กลิ่นอายของญี่ปุ่นยุคโบราณ วันนี้เราจึงขอแนะนำเกี่ยวกับการแต่งชุดกิโมโนที่ญี่ปุ่นและข้อควรระวังต่าง ๆ รวมถึงย่านเก่าแก่ที่คงสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมเอาไว้ซึ่งเป็นแหล่งที่นักท่องนิยมไปแต่งชุดกิโมโนกันค่ะ

การแต่งชุดกิโมโนที่ญี่ปุ่น
การแต่งกายชุดกิโมโนที่ญี่ปุ่น ส่วนใหญ่จะนิยมใช้บริการจากร้านเช่าชุดกิโมโน โดยควรจองล่วงหน้าจากทางหน้าเว็บไปก่อนเพราะจะได้ราคาถูกกว่าค่ะ ทั้งนี้ร้านกิโมโนใกล้แหล่งท่องเที่ยวมีหลายร้านให้เลือกมากมาย การเดินทางก็มักจะไม่ยาก เพราะอยู่ใกล้สถานีรถไฟ หรือป้ายรถประจำทาง สามารถเดินต่อไปไม่กี่นาทีก็ถึงร้านแล้วค่ะ
การเช่ากิโมโนจะมีให้เลือกเป็นเซ็ตตามความต้องการที่แตกต่างกัน โดยในแต่ละเซ็ตสำหรับผู้หญิงจะมีชุดกิโมโน, โอบิ (ผ้าคาดเอว) ทาบิ (ถุงเท้าสำหรับใส่กับกิโมโน) และเกตะ (รองเท้าเกี๊ยะ) ส่วนขั้นตอนการใส่กิโมโน ไม่ต้องกังวลค่ะ เพราะทางร้านจะมีบริการใส่ชุดให้อยู่แล้ว เนื่องจากชุดกิโมโนเป็นชุดที่มีความละเอียดอ่อนพอสมควรและต้องใช้คนช่วยในการแต่งตัวค่ะ
สำหรับราคาการเช่าชุดกิโมโนโดยประมาณอยู่ที่ประมาณ 3,000 – 6,000 เยน (ประมาณ 1,000 – 2,000 บาท) และอาจมีบริการเสริมผ้าคลุมไหล่ นอกจากนี้บางร้านยังมีบริการแต่งหน้าทำผมแบบเข้ากับชุดกิโมโนโดยช่างมืออาชีพ ราคาเริ่มต้นประมาณ 1,000 เยน (300 บาท) ค่ะ

ข้อควรระวังในการแต่งกิโมโน
- เสื้อด้านซ้ายต้องทับด้านขวาเสมอ แม้ว่าทางร้านจะช่วยแต่งชุดให้เรา แต่นี่ถือเป็นข้อควรรู้สำหรับการใส่กิโมโนค่ะ เพราะการใส่กิโมโนแบบด้านขวาทับซ้าย จะเป็นการแต่งให้ศพนะคะ
- เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยก่อนใส่ชุด เนื่องจากการใส่กิโมโนมีหลายขั้นตอน ถ้าเกิดมีธุระต้องเข้าห้องน้ำคงยุ่งยากไม่น้อยค่ะ
- ของมีค่าควรเก็บเอาไว้ในกระเป๋าถือ ชุดกิโมโนจะมีกระเป๋าถือใบเล็ก ๆ ให้ค่ะ ควรใส่ของมีค่ารวมถึงพาสปอร์ตพกไปด้วยนะคะ พยายามอย่าเก็บไว้ในถุงที่ทางร้านเตรียมไว้ให้เพื่อใส่เสื้อผ้าชุดเดิมของเราค่ะ
- ควรสำรวมกริยาท่าทางขณะใส่กิโมโน ไม่ว่าจะเป็นการยืนที่ต้องยืนเท้าชิด ยืดตัวให้สง่า การเดินที่มือต้องแนบลำตัว การนั่งที่ห้ามพิงเก้าอี้และต้องระวังแขนเสื้อลากพื้น เป็นต้น
- พยายามก้าวสั้น ๆ และอย่าเดินเร็ว แม้ว่าทาบิจะถูกออกแบบมาให้สวมใส่กับรองเท้าเกตะ เพื่อให้คีบได้สะดวก แต่ก็แนะนำว่าไม่ควรเดินเร็วจนเกินไป
ย่านที่นิยมแต่งชุดกิโมโนเดินเที่ยว

• อาซากุสะ (Asakusa) ในเมืองโตเกียว (Tokyo)
ถ้าอยากใส่ชุดกิโมโนเดินเที่ยวสักแห่งในญี่ปุ่น แน่นอนว่าต้องมีอาซากุสะ (Asakusa) อยู่เป็นอันดับต้นๆ เพราะเป็นย่านเก่าแก่แห่งเมืองโตเกียว (Tokyo) มีกลิ่นอายยุคโบราณของญี่ปุ่น เนื่องจากยังคงหลงเหลือร้านค้าและอาคารบ้านเรือนแบบเก่าแก่ตั้งแต่สมัยเอโดะ ที่ขึ้นชื่อก็อย่างเช่น วัดเซนโซจิ (Sensoji Temple) เป็นวัดที่มีประวัติยาวนานกว่า 1,300 ปี โดดเด่นด้วยโคมไฟสีแดงขนาดยักษ์จนถูกเรียกอีกชื่อว่า “วัดโคมแดง” นั่นเองค่ะ
นอกจากนี้ อาซากุสะยังมีศาลเจ้ามากมาย และที่เที่ยวที่อนุรักษ์ความเป็นญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมไว้ เช่น สวนสนุกฮานายาชิกิ (Hanayashiki Amusement Park) ซึ่งเป็นสวนสนุกเก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น พิพิธภัณฑ์ศิลปหัตถกรรมดั้งเดิมเอโดะชิตะมาจิ (Edo Shitamachi Traditional Craft Museum) รวมไปถึงแหล่งช็อปปิ้งตามถนนต่าง ๆ ที่มีของขายสไตล์ย้อนยุค เช่น ถนนนากามิเสะ (Nakamise) และ ถนนช็อปปิ้งนิชิซันโด (Asakusa Nishi-Sando Shopping Street) นับได้ว่าอาซากุสะเป็นย่านที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายยุคเก่า เหมาะแก่การใส่ชุดกิโมโนไปเดินเที่ยวให้เข้าบรรยากาศ และถ่ายรูปสวย ๆ ได้หลายมุมเลยค่ะ

• วัดคิโยมิสึ (Kiyomizu Temple) ในเมืองเกียวโต (Kyoto)
วัดเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงมากในเกียวโต สร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 798 และได้รับการประกาศเป็นหนึ่งในมรดกโลกจาก UNESCO วัดคิโยมิสึ (Kiyomizu Temple) มีอีกชื่อว่า “วัดน้ำใส” เพราะมีน้ำบริสุทธิ์ 3 สายไหลลงมาที่น้ำตกโอโตวะ (Otowa Waterfall) ซึ่งอยู่ด้านล่างของศาลาวัด การแต่งชุดกิโมโนมาเที่ยวที่วัดคิโยมิสึเป็นอีกสิ่งที่นิยมค่ะ เนื่องจากวัดนี้มีความสวยงามแบบดั้งเดิม โดยเฉพาะบริเวณอาคารหลัก ฮอนโดะ (Hondo) ศาลาไม้ที่ตั้งอยู่บนเนินเขา เหมาะแก่การมาเที่ยวชมในฤดูใบไม้ร่วงเพราะต้นเมเปิ้ลจะเป็นสีแดงสดสวย และฤดูใบไม้ผลิจะเห็นดอกซากุระบานงดงามมากค่ะ
หมายเหตุ
- อาคารหลักของวัดคิโยมิสึมีการปิดปรับปรุงตั้งแต่ปี ค.ศ. 2017 – 2020 แต่ส่วนอื่นยังเข้าชมได้ปกติ
นอกจากนี้ใกล้ทางเข้าวัดก็ยังมีถนนช้อปปิ้งในบรรยากาศโบราณ และมุมที่ห้ามพลาด คือ บริเวณถนนทางเดินไปยังเจดีย์ยาซากะ (Yasaka Pagoda) เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในมุมมหาชนของเกียวโตเลยค่ะ นอกจากนี้เราก็ยังสามารถเดินต่อไปยังย่านกิออน (Gion) ย่านโรงน้ำชาที่เราสามารถพบเจอเกอิชาได้ ซึ่งก็มีนักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปวิวร้านค้าเก่าแก่ในย่านนี้ค่ะ

• อาราชิยาม่า (Arashiyama) ในเมืองเกียวโต (Kyoto)
อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวเก่าแก่ของเกียวโตที่พลาดไม่ได้ ใครอยากแต่งกิโมโนมาเดินเล่นสวย ๆ ท่ามกลางธรรมชาติแนะนำที่นี่เลยค่ะ เพราะได้รับความนิยมสูงมากมาตั้งแต่สมัยเฮอันแล้ว เนื่องจากเมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วง จะเกิดวิวทิวทัศน์สีส้มแดงของใบไม้เปลี่ยนสีแบบที่เรียกได้ว่างดงามตระการตามาก ไฮไลต์ที่ต้องไปให้ได้คือ ถนน จิคุรินโนะมิจิ (Chikurin-no-Michi) หรือป่าไผ่ (Bamboo Forest) ซึ่งเป็นทางเดินความยาวประมาณ 100 เมตรที่มีต้นไผ่สูงชะลูดขนานสองข้างทาง ถ้ามาถ่ายรูปชุดกิโมโนที่นี่จะได้วิวที่สวยมีเอกลักษณ์โดดเด่นแบบญี่ปุ่นแน่นอนค่ะ แต่ว่าตรงนี้ต้องรีบไปแต่เช้าเลยค่ะ ถ้าไปสายคนจะแน่นมาก
ต่อด้วย วัดเทนริวจิ (Tenryuji Temple) ที่อยู่ข้างถนนป่าไผ่ วัดอีกแห่งที่ UNESCO ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรม จากนั้นก็มาต่อที่ สะพานโทเก็ตสึเคียว (Togetsukyo Bridge) ที่เป็นสะพานโบราณ หรือจะล่องเรือในแม่น้ำคัตสึระ (Katsura-gawa) ก็เก๋ไม่หยอกค่ะ

• ถนนคุราซุคุริ (Kurazukuri Street) ในเมืองคาวาโกเอะ (Kawagoe)
ถ้าหากอยากได้ภาพตอนใส่ชุดกิโมโนท่ามกลางบรรยากาศแบบแนวโบราณ ๆ ของญี่ปุ่น แนะนำให้มาที่ ถนนคุราซุคุริ (Kurazukuri Street) เลยค่ะ เพราะถนนนี้เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ “ถนนสายโกดังเก่า” ของเมืองคาวาโกเอะ (Kawagoe) ในจังหวัดไซตามะ (Saitama) ซึ่งเป็นเมืองที่มีอีกชื่อว่า โคเอโดะ (Koedo) แปลว่า “เมืองเอโดะน้อย” โดยย้อนไปเมื่อ 400 ปีก่อน เมืองนี้มีความรุ่งเรืองราวกับเอโดะที่เป็นเมืองหลวงของญี่ปุ่นสมัยนั้นเลยทีเดียว อีกทั้งยังอยู่ไม่ไกลจากใจกลางเมืองโตเกียวด้วยค่ะ
ถนนคุราซุคุริ มีความยาวประมาณ 400 เมตร สองข้างทางประกอบด้วยอาคารในรูปแบบคลังสินค้าโบราณ ซึ่งปัจจุบันถูกดัดแปลงให้เป็นร้านขายของที่ระลึกและร้านอาหารต่าง ๆ ทั้งนี้ถนนนี้ยังมี ตรอกคาชิยะโยโคะโชะ (Kashiya Yokocho) ซึ่งเป็นตรอกขนมหวาน โดยมันหวานคือขนมขึ้นชื่อของที่นี่ เรียกได้ว่าต้องลองสักครั้ง ทั้งอร่อยและสามารถใช้เป็นพร็อพถ่ายรูปโดยมีฉากหลังเป็นเมืองคลังสินค้าเก่าแก่อีกด้วยค่ะ

• ฮิกาชิฉะยะ (Higashi Chaya) ในเมืองคานาซาว่า (Kanazawa)
ย่านฮิกาชิฉะยะ (Higashi Chaya) หรือโรงน้ำชาทางฝั่งตะวันออกของ เมืองคานาซาว่า (Kanazawa) ในจังหวัดอิชิกาว่า (Ishikawa) อีกย่านโรงน้ำชาที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่นและได้รับความนิยมในการแต่งชุดกิโมโนเดินเที่ยวค่ะ โดยฮิกาชิฉะย เป็นย่านที่ยังคงหลงเหลือสถาปัตยกรรมเก่าแก่ตั้งแต่สมัยเอโดะ เป็นโรงน้ำชาสองชั้น มีหน้าต่างแบบตะแกรงที่เรียกว่า Kimusuko ซึ่งมองออกไปข้างนอกง่าย แต่มองเข้ามาข้างในยาก เป็นรูปแบบของอาคารแบบดั้งเดิม จึงได้รับการประเมินว่าเป็นเขตอนุรักษ์อาคารแบบดั้งเดิมค่ะ
ถนนของฮิกาชิฉะยะปูด้วยหิน ส่วนสองข้างทางมีร้านค้ามากมาย เหมาะแก่การเดินเล่นพักผ่อนหย่อนใจ และถ้าเป็นช่วงที่ผู้คนเบาบาง เสียงชามิเซ็ง (Shamisen) เครื่องดนตรีสามสายโบราณก็จะดังคลอไปกับบรรยากาศเมืองเก่า ยิ่งใส่ชุดกิโมโนมาเดินเที่ยวด้วยแล้ว รู้สึกเหมือนได้หลุดไปอยู่ในญี่ปุ่นยุคโบราณเลยค่ะ

ส่งท้าย
หลายคนอาจสับสนระหว่างกิโมโน (Kimono) กับยูกาตะ (Yukata) อยู่บ้าง เพราะมีความคล้ายคลึงกัน แต่ชุดกิโมโนจะมีความเป็นทางการมากกว่า ขั้นตอนการใส่ซับซ้อนกว่า และใช้ผ้าที่มีราคาแพงกว่าอย่างผ้าไหม นิยมใช้ในงานพิธีการเช่นงานแต่งงาน งานบรรลุนิติภาวะค่ะ ส่วนยูกาตะจะมีความเป็นชุดลำลองมากกว่า ทำจากผ้าฝ้ายระบายความร้อนได้ดี เหมาะแก่การใส่เที่ยวในฤดูร้อนค่ะ อย่างไรก็ตาม การใส่กิโมโนหรือยูกาตะเพื่อเดินเที่ยวเมืองต่าง ๆ ก็ถือเป็นสิ่งที่น่าลองสักครั้งเมื่อได้ไปญี่ปุ่นนะคะ
บทความแนะนำ
- 20 สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองเกียวโต (Kyoto) ที่ต้องมา Check-in!
- 30 คำศัพท์น่ารู้ เกี่ยวกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นและประเพณีดั้งเดิมของประเทศญี่ปุ่น