Home เที่ยวญี่ปุ่นคิวชู (Kyushu) 10 สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองฟุกุโอกะ (Fukuoka) ที่ต้องมา Check-in!
สถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดฟุกุโอกะ (Fukuoka)

10 สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองฟุกุโอกะ (Fukuoka) ที่ต้องมา Check-in!

by Pikanoui
9105 views

เมืองฟุกุโอกะ (Fukuoka) ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของภูมิภาคคิวชู (Kyushu) และยังเป็นเมืองหลักของภูมิภาคนี้ที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนเป็นจำนวนมาก ในแต่ละปี นอกจากนี้ฟุกุโอกะยังมีเที่ยวบินตรงมาจากกรุงเทพ จึงเป็นอีกจุดหมายปลายทางที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวชาวไทย อีกทั้งสนามบินฟุกุโอกะ (Fukuoka Airport) ยังอยู่ห่างจากย่านสถานีฮากาตะ (Hakata) ซึ่งเป็นศูนย์กลางของเมืองโดยใช้เวลาเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินเพียง 5 นาทีเท่านั้น จึงสะดวกในการเดินทางท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก

สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองฟุกุโอกะนั้นก็มีหลากหลายทั้ง วัดและศาลเจ้า แหล่งช้อปปิ้งชั้นนำ สวนสาธารณะและสวนดอกไม้ที่มีทิวทัศน์อันสวยงาม ส่วนอาหารขึ้นชื่อของฟุกุโอกะก็คือ ราเมงฮากาตะ โดยมีเอกลักษณ์อยู่ที่น้ำซุปกระดูกหมูสีขาวขุ่น ซึ่งหากได้มาเยือนในแถบภูมิภาคนี้ ต้องหาโอกาสลองรสต้นตำรับให้ได้สักครั้ง

10 สถานที่ท่องเที่ยวในฟุกุโอกะที่ห้ามพลาด!

คาแนลซิตี้ฮากาตะ (Canal City Hakata)

( แผนที่)

คาแนลซิตี้ฮากาตะ (Canal City Hakata)

มาเยือนเมืองฟุกุโอกะทั้งที…หลายคนคงมีแพลนอยากจะมาเดินช้อปปิ้งชิวๆ ในห้างดังของญี่ปุ่น และที่เราจะพูดถึงนี้ก็คือ “คาแนลซิตี้ฮากาตะ (Canal City Hakata)” เป็นศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่มีคลองไหลผ่านในห้าง และเป็นที่มาของชื่อห้างนั่นเองค่ะ

คาแนลซิตี้ฮากาตะสร้างเสร็จในปี ค.ศ.1996 มีทำเลที่ตั้งอยู่ในย่านฮากาตะ (Hakata) ซึ่งเป็นย่านบันเทิงและย่านการค้าใจกลางเมืองฟุกุโอกะ ถือเป็นย่านที่มีความเจริญรุ่งเรืองอย่างมากค่ะ ช้อปปิ้งมอลล์แห่งนี้ออกแบบให้มีความทันสมัย รูปทรงและสีสันที่แปลกตา น่าสนใจ โดยเฉพาะในส่วนของชั้นใต้ดินที่มีคลองน้ำใสขนาดเล็กตั้งอยู่ โดยทุกๆ ชั่วโมงจะมีการแสดงแสงสีของน้ำพุอันสวยงาม ตื่นตาตื่นใจ ให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมกัน ทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้มากทีเดียว

ศูนย์การค้ายอดนิยมแห่งนี้มีอยู่ทั้งหมด 7 ชั้นด้วยกัน ภายในอาคารประกอบไปด้วยร้านอาหาร คาเฟ่ ภัตตาคาร ร้านสินค้าแฟชั่น ทั้งร้านแบรนด์ดังในญี่ปุ่นและจากต่างประเทศ โรงภาพยนตร์ สวนสนุก ร้านเกม และโรงแรม เรียกได้ว่ามีหมดแบบครบวงจร ไม่ต้องเสียเวลาตามหากันให้เหนื่อยเลยทีเดียว และห้างแห่งนี้ไม่ใช่มีดีเพียงเท่านี้นะคะ แต่ยังขึ้นชื่อลือชาในเรื่องของแหล่งรวมราเมง (Ramen Stadium) ร้านดัง 8 แห่งจากทั่วทุกมุมเมืองของญี่ปุ่น  เพราะฉะนั้นสาวกราเมงทั้งหลายไม่ควรพลาดกันเลย! สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาที่นี่ ก็สามารถเดินมาได้เพียง 7 นาทีเท่านั้นจากสถานีรถไฟ Hakata หรือจากสถานี Gion ค่ะ


ย่านร้านขายอาหารแผงลอย (Yatai)

( แผนที่)

ย่านร้านขายอาหารแผงลอย (Yatai)

สัมผัสบรรยากาศชิวๆ ในย่านคนเมือง ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ยอดฮิตของนักท่องเที่ยวอย่าง “ย่านร้านขายอาหารแผงลอย (Yatai)” ถือเป็นแหล่งที่ตั้งของร้านกินดื่มริมถนนในแบบที่เป็นบรรยากาศของคนดั้งเดิมที่นี่ อย่างเช่น ร้านราเมง ร้านโอเด้ง ร้านอาหารเสียบไม้ปิ้งย่าง และร้านอาหารกินเล่นคู่กับเบียร์เย็นๆ จะเห็นว่าในแต่ละร้านนั้นมีพื้นที่ค่อนข้างจำกัด โดยมีเก้าอี้นั่งด้านหน้าอยู่ประมาณ 5 – 10 ที่นั่งเท่านั้น เป็นร้านแบบเรียบง่าย สบาย ๆ ซึ่งร้านส่วนใหญ่ที่นี่จะเปิดกันประมาณ 6 โมงเย็นและปิดประมาณตี 1 ค่ะ

ว่ากันว่าย่านร้านอาหารแผงลอยแห่งนี้เคยติดอันดับเมืองแห่งสตรีทฟู้ดทีดี่ที่สุดในเอเชียกันมาแล้ว เพราะไม่ใช่แค่มีดีที่อาหารเท่านั้น แต่ยังพร้อมไปด้วยบรรยากาศริมแม่น้ำที่มองแล้วเพลิดเพลินไปตามๆ กัน และที่สำคัญเป็นย่านที่อยู่ใกล้กับห้างดังอย่าง “คาแนลซิตี้ฮากาตะ (Canal City Hakata)” จึงทำให้ที่นี่กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของคนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวในย่านนี้

สำหรับท่านใดที่ตั้งใจจะมาลิ้มลองร้านขายอาหารแนวสตรีทฟู้ดที่นี่ ควรเลือกร้านอาหารที่มีการระบุราคาบนเมนูอย่างชัดเจนนะคะ จะได้ไม่มีปัญหาตามมา ส่วนการเดินทางมานั้น ถ้ามาจากสถานีรถไฟใต้ดิน Nakasu-kawabata ก็ให้เดินข้ามสะพานข้ามแม่น้ำเพื่อไปยังฝั่งเกาะลอยนากาสึ (Nakasu Island) ได้เลยค่ะ


ย่านเท็นจิน (Tenjin)

( แผนที่)

ย่านเท็นจิน (Tenjin)

อีกแหล่งช็อปปิ้งชั้นแนวหน้าบนเกาะคิวชู ที่หลายคนพลาดไม่ได้อย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะขาช็อปอย่างเราๆ ต้องมากันที่ “ย่านเท็นจิน (Tenjin)” ถือว่าเป็นอีกย่านการค้ายอดนิยมจากคนในพื้นที่เองและจากนักท่องเที่ยวที่แวะเวียนกันมาตลอดทั้งปี นับว่าเป็นย่านที่มีความเจริญอย่างมาก สังเกตได้จากเป็นย่านที่มีโรงแรม ห้างสรรพสินค้า ตลาดจนอาคารสำนักงาน ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กันนั่นเองค่ะ 

แหล่งช็อปปิ้งเท็นจินแห่งนี้ ประกอบไปด้วยร้านค้าที่ตั้งเรียงรายกันอยู่ภายในกว่า 150 ร้าน ไม่ว่าจะเป็นร้านจำหน่ายเครื่องสำอาง เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องประดับ ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านจำหน่ายของที่ระลึก และอื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งของส่วนใหญ่ก็ไม่ได้แพงมากค่ะ เป็นราคาที่นักท่องเที่ยวสามารถช็อปกันได้อย่างสบายใจ

จากนั้นเรามาช้อปกันต่อที่ “Tenjin Underground Shopping Mall” หรือแหล่งช้อปปิ้งใต้ดินสุดชิค ทั้งแบรนด์นอกแบรนด์ในประเทศ ที่มีกลิ่นอายในแบบยุโรป ๆ เข้ากับบรรยากาศของญี่ปุ่นได้อย่างลงตัว การเดินทางมาช็อปปิ้งที่ย่านเท็นจินแห่งนี้ถือได้ว่าสะดวกสบายมากๆ เลยค่ะ ด้วยรถไฟใต้ดินมาลงที่สถานี Tenjin หรือสถานีรถไฟ Nishitetsu Fukuoka (Tenjin) ค่ะ


ฟุกุโอกะทาวเวอร์ (Fukuoka Tower)

( แผนที่)

ฟุกุโอกะทาวเวอร์ (Fukuoka Tower)

อีกหนึ่งแลนมาร์คสำคัญและถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้เลยก็ว่าได้สำหรับ “ฟุกุโอกะทาวเวอร์ (Fukuoka Tower)” เป็นหอคอยริมทะเลที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น โดยมีความสูงอยู่ที่ 234 เมตร หอคอยแห่งนี้สร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1989 ว่ากันว่าใช้เวลาในการสร้างทั้งหมด 14 เดือน ด้วยงบประมาณทั้งสิ้น 6 พันล้านเยน โดยลักษณะการออกแบบของหอคอยฟุกุโอกะทาวเวอร์นั้นมีการใช้โครงสร้างทรงสามเหลี่ยมที่มีกระจกครึ่งแผ่น (Half Mirror) สีเดียวกับท้องฟ้า จำนวนมากกว่า 8,000 แผ่นติดตั้งไว้โดยรอบอาคารเลยค่ะ

นอกจากนั้น หอคอยแห่งนี้ยังออกแบบมาให้สามารถรองรับแผ่นดินไหวที่ขนาด 7 ริคเตอร์ได้อย่างสบาย ๆ และยังรองรับแรงลมความเร็วที่ 65 เมตรต่อวินาทีได้อีกด้วย เรียกว่าแข็งแรงมาก ๆ เลยค่ะ และที่ระดับความสูง 123 เมตร นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปที่จุดชมวิวเพื่อชมความงามของเมืองได้แบบ 360 องศา เพื่อสัมผัสกับบรรยากาศอันงดงามของเมืองฟุกุโอกะได้แบบทั้งเมือง ซึ่งยังรวมไปถึงทะเล เกาะน้อย เกาะใหญ่ และภูเขา ที่จะสามารถเห็นได้ด้วยตาแบบครบหมดภายในที่เดียว!

สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาดื่มด่ำกับบรรยากาศวิวหลักล้านที่หอคอยฟุกุโอกะแห่งนี้ สามารถนั่งรถไฟใต้ดินมาลงที่สถานี Nishijin จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 20 นาที หรือจะนั่งรถบัสหมายเลข 5 แล้วเดินต่ออีกประมาณ 5 นาทีค่ะ


ปราสาทฟุกุโอกะ (Fukuoka Castle Ruins)

( แผนที่)

ปราสาทฟุกุโอกะ (Fukuoka Castle Ruins)

มาต่อกันอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวของเมืองฟุกุโอกะที่ในอดีตเคยรุ่งเรืองและเฟื่องฟูอย่างมากสำหรับ “ปราสาทฟุกุโอกะ (Fukuoka Castle Ruins)” เดิมมีชื่อว่า “ปราสาทมาอิซูรุ (Maizuru Castle) หรือหลายคนเรียกว่า “ปราสาทหิน” เนื่องจากก่อสร้างด้วยหินเป็นส่วนใหญ่ค่ะ ที่นี่เป็นปราสาทเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ภายใน “สวนมาอิซูรุ (Maizuru Park)” เดิมปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นตามคำสั่งของท่านคุโรดะ นางามาสะ (Kuroda Nagamasa) ซึ่งมีตำแหน่งเป็นไดเมียวคนแรกของเมืองฟุกุโอกะในยุคของเอโดะ (Edo) หรือในช่วงศตวรรษที่ 17

ในอดีตปราสาทแห่งนี้ถือเป็นปราสาทที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคคิวชู (Kyushu) แต่เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งเพราะถูกทำลายลงเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ยุคของเมจิ (Meiji) นั่นเองค่ะ ปัจจุบันสิ่งที่ยังหลงเหลือให้ได้เห็นกันนั้นก็มีเพียงแค่ซากของตัวปราสาทบางส่วน รวมถึงกำแพงและฐานของหอคอยเล็ก ๆ ที่อยู่ภายในสวนแห่งนี้เท่านั้นค่ะ

หากมองไปรอบ ๆ คูน้ำจะพบว่ามีต้นซากุระปลูกอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้ที่นี่ยังเป็นจุดชมวิวยอดนิยมของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเพื่อชมความงามของดอกซากุระบานในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งจะอยู่ระหว่างปลายเดือนมีนาคม – ต้นเดือนเมษายนค่ะ สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาที่ปราสาทฟุกุโอกะแห่งนี้ สามารถเดินจากสถานีรถไฟใต้ดิน Ohori Koen ประมาณ 10 – 15 นาที หรือจะเดินทะลุจาก “สวนโอโฮริ (Ohori Park)” ก็ได้ค่ะ


สวนโอโฮริ (Ohori Park)

( แผนที่)

สวนโอโฮริ (Ohori Park)

สำหรับใครที่เดินทางมาเที่ยวที่เมืองฟุกุโอกะแล้ว อยากจะเปลี่ยนบรรยากาศจากการเดินเที่ยววัดหรือศาลเจ้า มาเป็นการเดินชิว ๆ กินลม ชมธรรมชาติ ก็ต้องที่นี่เลยค่ะ สวนโอโฮริ (Ohori Park)” เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ใกล้กับ ปราสาทฟุกุโอกะ (Fukuoka Castle Ruins)” สวนแห่งนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1929 โดยได้รับการออกแบบให้มีลักษณะเหมือนกับสวนแบบดั้งเดิมที่อยู่บริเวณทะเลสาบในประเทศจีน

สวนโอโฮริแห่งนี้ถือว่ามีพื้นที่อยู่ค่อนข้างมาก โดยทางเดินรอบ ๆ สระน้ำจะมีระยะทางรวมกันประมาณ 2 กิโลเมตรเลยทีเดียว ภายในสวนประกอบไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ที่ปลูกไว้อย่างสวยงามและให้ความร่มรื่นอยู่บริเวณรอบๆ  สระน้ำ ซึ่งข้างในสระน้ำก็จะมีศาลาแดงเด่นตั้งอยู่ตรงกลาง ถัดมาจะเป็น “ศาลเจ้าโกโคคุ (GoKoku Shrine)” และสวนสวยสไตล์ญี่ปุ่นที่มีการออกแบบตกแต่งไว้อย่างสวยงาม รวมถึงพิพิธภัณฑ์ศิลปะขนาดเล็กที่ได้รวบรวมเอารูปปั้นต่าง ๆ มากมายมาจัดแสดงให้นักท่องเที่ยวได้ชมกันอีกด้วยค่ะ

ผู้คนส่วนใหญ่มักมาที่สวนแห่งนี้เพื่อผ่อนคลายหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการนั่งกินลมชมวิว การวิ่งออกกำลังกาย การปั่นจักรยาน หรือจะพายเรือเล่นในสระน้ำก็ช่วยให้คลายเครียดได้ไม่น้อยทีเดียว ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการมาท่องเที่ยวที่นี่ก็คือช่วงเทศกาลดอกซากุระบานสะพรั่ง และสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาที่สวนโอโฮริแห่งนี้ ก็สามารถเดินมาได้จากสถานีรถไฟใต้ดิน Ohori Koen เพียงแค่ 5 นาทีเท่านั้นค่ะ


วัดนันโซอิน (Nanzoin Temple)

( แผนที่)

วัดนันโซอิน (Nanzoin Temple)

หากใครที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวทางด้านโบราณสถานที่มีความงดงามและได้รับความเคารพจากคนญี่ปุ่น ถ้ามาเที่ยวฟุกุโอกะก็ห้ามพลาด “วัดนันโซอิน (Nanzoin Temple)” ที่ตั้งอยู่ในเมืองซาซะกุริ (Sasaguri) นี้ค่ะ วัดแห่งนี้มีความสำคัญมาก โดยอยู่ในเส้นทางแสวงบุญที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น และเป็นหนึ่งใน 88 สถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับสักการะบูชาพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งมีความยาวถึง 41 เมตร สูง 11 เมตร และมีน้ำหนักกว่า 300 ตัน ว่ากันว่ามีขนาดใหญ่เท่ากับ “รูปปั้นเทพีเสรีภาพ” ในประเทศอเมริกาเลยทีเดียว

เดิมทีวัดนันโซอินนั้นตั้งอยู่ที่วัดใหญ่ในจังหวัดดวากายามะ (Wakayama) ก่อนจะย้ายมาอยู่ที่จังหวัดฟุกุโอกะอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ซึ่งแต่ละปีก็จะมีนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากเดินทางมาที่วัดแห่งนี้เพื่อสักการะบูชาและขอพรต่อสิ่งศักสิทธิ์กันอย่างไม่ขาดสาย ภายในบริเวณวัดก็มีจุดสำคัญ ๆ ที่น่าสนใจนอกเหนือจากพระนอนให้นักท่องเที่ยวได้เดินสำรวจกัน ซึ่งบรรยากาศในวัดก็เงียบสงบ ร่มรื่น เนื่องจากเป็นวัดที่ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงาม แถมได้สูดอากาศบริสุทธิ์อีกด้วยค่ะ

สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาเพื่อสักการะบูชาหรือขอพรต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ วัดนันโซอินแห่งนี้ ก็สามารถเลือกใช้บริการรถไฟเพื่อไปลงที่สถานี Kido Nanzoin-mae จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 5 นาทีเท่านั้นค่ะ


ศาลเจ้าดาไซฟุ เท็นมังงู (Dazaifu Tenmangu Shrine)

( แผนที่)

ศาลเจ้าดาไซฟุ เท็นมังงู (Dazaifu Tenmangu Shrine)

ไปกันต่อ…สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันดี โดยเฉพาะการมาเพื่อขอพร อย่างที่ ศาลเจ้าเท็นมังงู (Tenmangu Shrine)” หรือที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันในชื่อของ “ศาลเจ้านักปราชญ์” ถือว่าเป็นอีกหนึ่งศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์ที่คนเมืองนี้ให้การเคารพนับถือมาตั้งแต่อดีตจวบจนถึงปัจจุบัน

ศาลเจ้าแห่งนี้ตั้งอยู่ในเมืองดาไซฟุ (Dazaifu) คนญี่ปุ่นเชื่อว่าเป็นศาลเจ้าของเทพเทนจิน (Tenjin) หรือชื่อเต็มของท่านก็คือ สึกาวาระโนะ มิจิซาเนะ (Sugawara no Michizane) ในอดีตท่านเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงด้านกวีเอกและมีตำแหน่งเป็นนักปราชญ์คนสำคัญของญี่ปุ่นในยุคเฮอัน (Heian) นั่นเองค่ะ

ศาลเจ้าเท็นมังงูแห่งนี้ถือว่ามีความเก่าแก่และก่อกำเนิดขึ้นมากว่าพันปีที่แล้ว ในแต่ละวันก็จะมีทั้งนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติเดินทางมาเพื่อสักการะและขอพรที่ศาลเจ้าแห่งนี้กันอย่างเนืองแน่น โดยเฉพาะนักเรียน นักศึกษาที่ชอบมาขอพรเพื่อให้ประสบความสำเร็จด้านการเรียนกันค่ะ  

ส่วนบรรยากาศในบริเวณศาลเจ้าแห่งนี้ก็จะค่อนข้างร่มรื่น และเต็มไปด้วยความศรัทธาจากนักท่องเที่ยวที่ได้เดินทางมาเยือน ถือว่าเป็นอีกสถานที่สำคัญที่หลายคนอยากจะมาท่องเที่ยวกันได้ทุกช่วงฤดูกาล และสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาเพื่อสักการะหรือขอพร ณ ศาลเจ้าเท็นมังงูแห่งนี้ ก็สามารถเดินทางด้วยรถไฟเพื่อมาลงยังสถานี Dazaifu จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 5 นาทีค่ะ


วัดโคเมียวเซ็นจิ (Komyozen-ji Temple)

( แผนที่)

สำหรับใครที่มีโอกาสได้เดินเที่ยวเล่นและชื่นชมบรรยากาศทั่วทั้ง ศาลเจ้าเท็นมังงู (Tenmangu Shrine)” กันแล้ว ก็มาแวะเที่ยวที่นี่กันต่อเลยกับ วัดโคเมียวเซ็นจิ (Komyozen-ji Temple)” เป็นวัดเก่าแก่ของนิกายรินไซ (Rinzai) ที่สร้างขึ้นในช่วงกลางสมัยคามาคุระ (Kamakura)ถือเป็นวัดที่มีขนาดค่อนข้างเล็กทีเดียว แต่ความสวยนั้นเต็มร้อยเลยค่ะ 

วัดโคเมียวเซ็นจิแห่งนี้มีจุดเด่นอยู่ที่สวนหินสไตล์ญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่ทางด้านหน้าและด้านหลังของวัด ที่มีการออกแบบตกแต่งไว้อย่างงดงาม โดยสวนด้านหน้าวัดนั้นมีการตกแต่งด้วยหินจำนวนทั้งสิ้น 15 ชุดที่เรียงกันเป็นตัวอักษรในภาษาญี่ปุ่นที่มีความหมายว่า “แสงสว่าง” และสวนด้านหลังของวัดนั้นจะประกอบไปด้วยต้นเมเปิ้ลที่เรียงรายกันอยู่เพื่อคอยให้ร่มเงาอย่างดี และสวนสวยแห่งนี้ยังกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงฤดูใบไม้ร่วง

สำหรับใครที่อยากจะมาที่วัดแห่งนี้ แนะนำให้มาเที่ยวกันในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีค่ะ เพราะเป็นช่วงที่สวยงามและเหมาะกับการถ่ายภาพเป็นที่สุด แถมยังได้สัมผัสกับอากาศหนาว ๆ อย่างแน่นอน!


สวนคาวาจิ ฟูจิ (Kawachi Fuji Garden/Kawachi Wisteria Garden)

( แผนที่)

สถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดฟุกุโอกะ (Fukuoka)

อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ฮอตฮิตติดอันดับต้นๆ ช่วงฤดูใบไม้ผลิของฟุกุโอกะเลย นั่นคือ “สวนคาวาจิ ฟูจิ (Kawachi Fuji Garden/Kawachi Wisteria Garden)” หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อของ “อุโมงค์ดอกวิสทีเรีย” หรือคนญี่ปุ่นเรียกกันในชื่อ “ดอกฟูจิ” ที่ต้องบอกเลยว่าทั้งสวยงามและอลังการ จนกลายเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คสำคัญที่ตั้งอยู่ในเมืองคิตะคิวชู (Kitakyushu) ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของจังหวัดฟุกุโอกะ

ภายในสวนคาวาจิ ฟูจิแห่งนี้มีไฮไลท์ที่ดอกวิสทีเรียที่มีอยู่มากกว่า 20 สายพันธุ์ ที่จะเบ่งบานไปทั่วทั้งอุโมงค์ที่มีความยาวประมาณ 100 เมตร ประมาณ 1 -2 สัปดาห์ ปลายเดือนเมษายน – กลางเดือนพฤษภาคม ซึ่งจะเป็นช่วงที่มีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามายังสวนเพื่อชื่นชมความสวยงามค่ะ

สำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากจะเดินทางมาชมความงามของอุโมงค์ดอกวิสทีเรียที่สวนคาวาจิ ฟูจิ หรือว่ามีแพลนกำลังจะมาเที่ยวยังไงก็ต้องศึกษาช่วงเวลาและเช็คสภาพอากาศให้ดีก่อนนะคะ จะได้ไม่พลาดโอกาสดี ๆ ที่ตั้งใจเอาไว้ค่ะ สำหรับการเดินทางมานั้นนักท่องเที่ยวสามาถใช้บริการรถไฟเพื่อมาลงยังสถานี JR Yahata จากนั้นเดินทางต่อด้วยการขึ้นรถบัส Nishitetsu สาย 56 เพื่อมาลงยังป้าย Kawachi Elementary School แล้วเดินต่ออีกประมาณ 10 นาทีค่ะ

ส่งท้าย

คิดว่าน่าจะเต็มอิ่มกันเลยทีเดียวกับ 10 สถานที่ท่องเที่ยวในฟุกุโอกะที่แนะนำในบทความนี้ สำหรับคนที่มาเยือนภูมิภาคคิวชูนี้ก็ยังสามารถเดินทางจากจังหวัดฟุกุโอกะไปเที่ยวยังจังหวัดใกล้เคียงอย่าง คุมาโมโตะ โออิตะ และนางาซากิได้อีกด้วยนะคะ

บทความที่เกี่ยวข้อง