ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีแหล่งท่องเที่ยวโดดเด่นหลายแห่ง จนบางครั้งก็อาจเลือกไม่ถูกว่าจะไปที่ไหนดี ดังนั้นการเลือกไปสถานที่ท่องเที่ยวแลนด์มาร์คในญี่ปุ่นก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ เพราะนอกจากจะได้ไปชื่นชมความงดงามและสัมผัสประสบการณ์สุดประทับใจสมกับที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังแล้ว ยังได้รูป Check-in สวยๆ ไว้อัพลงโซเชียลแบบที่แค่เห็นรูปก็รู้เลยว่ามาเที่ยวญี่ปุ่น!
แลนด์มาร์คยอดนิยมในญี่ปุ่นสำหรับ Check-in
1. โคมไฟยักษ์ วัดเซนโซจิ (Senso-ji Temple)
— จังหวัดโตเกียว (Tokyo)
( แผนที่)
โคมไฟยักษ์หรือโคมแดงที่แขวนอยู่ตรงประตูคามินาริมง (Kaminarimon Gate) วัดเซนโซจิ (Senso-ji Temple) จังหวัดโตเกียว (Tokyo) ถือเป็นจุด Check-in ห้ามพลาดสุดๆ สำหรับคนมาเยือนเมืองหลวงของญี่ปุ่นค่ะ เพราะเป็นสถานที่ขึ้นชื่อย่านอาซากุสะ (Asakusa) อ่านถึงตรงนี้หลายคนคงสงสัยว่า วัดที่มีโคมไฟยักษ์นี้ไม่ได้ชื่อวัดอาซากุสะหรือ? แท้จริงเป็นความเข้าใจผิดจากตัวอักษรคันจิในชื่อวัดเซ็นโซจิค่ะ เนื่องจากเป็นตัวเดียวกันกับชื่อย่านอาซากุสะ แต่อ่านออกเสียงแตกต่างกันนะคะ
โคมไฟยักษ์สีแดงเด่นนี้มีความสูงถึง 3.9 เมตร และมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 3.3 เมตร สร้างขึ้นโดยร้านทาคาฮาชิโชจิน ซึ่งเป็นร้านโคมไฟในจังหวัดเกียวโต (Kyoto) และจะมีการเปลี่ยนใหม่ทุกๆ 10 ปีนะคะ ซึ่งภายในวัดเซนโซจินอกจากโคมไฟยักษ์แล้วยังมีจุดน่าสนใจอื่นๆ คือ ประติมากรรมมังกร จากความเชื่อว่ามังกรคอยปกป้องผู้คนในย่านอาซากุสะนั่นเอง
⇒ การเดินทางมาวัดเซนโซจิ
- นั่งรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย Ginza Line มาลงที่สถานี Asakusa แล้วเดินต่ออีก 5 นาที
- นั่งรถไฟใต้ดิน Toei สาย Asakusa Line มาลงที่สถานี Asakusa แล้วเดินต่ออีก 5 นาที
- นั่งรถไฟสาย Tobu Skytree Line มาลงที่สถานี Tobu Asakusa แล้วเดินต่ออีก 5 นาที
2. หอคอยโตเกียวทาวเวอร์ (Tokyo Tower)
— จังหวัดโตเกียว (Tokyo)
( แผนที่)
โตเกียวทาวเวอร์ (Tokyo Tower) เป็นหอคอยกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์ดั้งเดิมตั้งอยู่ใจกลางเมืองโตเกียว (Tokyo) โดยเป็นหอคอยชมวิวที่เหมาะแก่การมา Check-in อย่างมาก มีจุดชมวิว 2 แห่งด้านในให้เลือกตามระดับความสูง คือ Main Observatory อยู่ที่ความสูง 150 เมตร และ Special Observatory อยู่ที่ความสูง 250 เมตร สามารถมองเห็นได้ทั้ง เกาะโอไดบะ (Odaiba), สะพานสายรุ้ง (Rainbow Bridge), หอคอยโตเกียวสกายทรี (Tokyo Skytree) ถ้าอากาศดีก็สามารถเห็นภูเขาไฟฟูจิได้ด้วยค่ะ
หอคอยโตเกียวทาวเวอร์สร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1958 ส่วนความสูงนั้นอยู่ที่ 333 เมตร เป็นเพราะผู้สร้างอยากให้สูงกว่าหอไอเฟลที่สูง 324 เมตรนั่นเองค่ะ เราจึงได้มีหอคอยโตเกียวไว้ชมวิวทั้งกลางวันกลางคืน นอกจากนี้ที่ชั้นล่างยังมีพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ Tokyo Tower Aquarium ให้เยี่ยมชมอีกด้วยค่ะ
⇒ การเดินทางมาโตเกียวทาวเวอร์
- นั่งรถไฟใต้ดิน Toei สาย Oedo Line มาลงที่สถานี Akabanebashi แล้วเดินต่ออีก 5 นาที
- นั่งรถไฟใต้ดิน Toei สาย Mita Line มาลงที่สถานี Onarimon แล้วเดินต่ออีก 6 นาที
- นั่งรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย Hibiya Line มาลงที่สถานี Kamiyacho แล้วเดินต่ออีก 7 นาที
3. เจดีย์แดงชูเรโต (Chureito Pagoda)
— จังหวัดยามานาชิ (Yamanashi)
( แผนที่)
เจดีย์ชูเรโต (Chureito Pagoda) ตั้งอยู่บนเนินเขาภูเขาอาราคุระยามะ (Arakurayama) เมืองฟูจิโยชิดะ (Fujiyoshida) จังหวัดยามานาชิ (Yamanashi) ซึ่งเป็นเมืองที่มีภูเขาไฟฟูจินั่นเองค่ะ เจดีย์แดงชูเรโตจึงมีฉากหลังเป็นภูเขาไฟฟูจิ ลักษณะของเจดีย์เป็นเจดีย์ 5 ชั้น มีสีแดงสวยงาม จึงนับเป็นหนึ่งในจุดชมวิวที่สวยที่สุดของญี่ปุ่นค่ะ
ช่วงที่เจดีย์ชูเรโตมีผู้มาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมากคือช่วงปลายมีนาคมถึงต้นเมษายน เพราะเป็นช่วงที่ซากุระบานสะพรั่ง เหมาะแก่การถ่ายรูป Check-in มากค่ะ ส่วนฤดูอื่นๆ ก็งดงามไม่แพ้กัน อย่างฤดูใบไม้ร่วงก็จะมีใบไม้เปลี่ยนสีแดงส้ม ถ้าเป็นฤดูหนาวก็จะมีฉากหลังขาวโพลนตัดกับสีแดงของเจดีย์ค่ะ
⇒ การเดินทางมาเจดีย์แดงชูเรโต
- นั่งรถไฟสาย Fujikyu Railway มาลงที่สถานี Shimoyoshida แล้วเดินต่ออีก 20 นาที
4. เจดีย์ยาซากะ (Yasaka Pagoda)
— จังหวัดเกียวโต (Kyoto)
( แผนที่)
เจดีย์ยาซากะ (Yasaka Pagoda) ของวัดโฮคันจิ (Hokan-ji Temple) ถือเป็นแลนด์มาร์คที่ห้ามพลาดของจังหวัดเกียวโต (Kyoto) เพราะเป็นเจดีย์โบราณที่ตั้งอยู่ในย่านเมืองเก่าฮิกาชิยาม่า (Higashiyama) โดยอาคารบ้านเรือนเป็นบ้านไม้ 1-2 ชั้นสไตล์โบราณ พื้นถนนปูด้วยหิน จึงให้กลิ่นอายของยุคโบราณ เหมาะแก่การใส่ชุดกิโมโนเดินเที่ยวและถ่ายรูป Check-in มากค่ะ
เจดีย์ยาซากะมีความเก่าแก่มากเพราะสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 592 ก่อนที่จังหวัดเกียวโตจะเป็นเมืองหลวงเสียอีกค่ะ ตัวเจดีย์มี 5 ชั้น สูง 49 เมตร ได้รับการสร้างใหม่หลายครั้ง และเป็นส่วนเดียวที่หลงเหลืออยู่ของวัดโฮคันจิหลังเกิดเหตุไฟไหม้ ทำให้ตั้งตระหง่านอย่างโดดเด่นในย่านฮิกาชิยาม่าถึงปัจจุบัน ที่สำคัญเจดีย์แห่งนี้แตกต่างจากเจดีย์แห่งอื่นๆ ตรงที่สามารถเข้าไปเยี่ยมชมภายในได้ด้วยค่ะ โดยสามารถเข้าไปชมได้ถึงชั้น 2 เลยทีเดียว
⇒ การเดินทางมาเจดีย์ยาซากะ
- นั่งรถบัสสาย 86, 100, 106, 110, 206 จากสถานี Kyoto มาลงที่ป้าย Kiyomizu-michi แล้วต่ออีกประมาณ 5 นาที
5. ศาลเจ้าเสาแดง ฟูชิมิอินาริ (Fushimi Inari Taisha)
— จังหวัดเกียวโต (Kyoto)
( แผนที่)
ศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ (Fushimi Inari Taisha) ตั้งอยู่ในจังหวัดเกียวโต (Kyoto) เป็นที่รู้จักกันอีกชื่อว่าศาลเจ้าจิ้งจอก เพราะตามความเชื่อแล้วจิ้งจอกเป็นผู้นำสารของเทพอินาริ (Inari) ที่เป็นเทพเจ้าแห่งธัญพืชในศาสนาชินโต จึงไม่แปลกเลยค่ะถ้าเราจะได้เห็นรูปปั้นของจิ้งจอกทั่วบริเวณศาลเจ้า
อย่างไรก็ตาม ศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ ยังมีชื่อเสียงโด่งดังจากเสาโทริอิ (Torii Gate) สีแดงที่มีจำนวนหลายพันต้นหรือที่เรียกว่า เซนบอน โทริอิ (Senbon Torii) เรียงต่อกันเป็นอุโมงค์ขนาดยาวดูสวยงามมากค่ะ โดยมีเส้นทางตรงไปยังจุดชมวิวบนยอดภูเขาอินาริที่ความสูง 233 เมตร หากสนใจเดินขึ้นเขาตามเส้นทางเสาโทริอิซึ่งเวลาเดินทางไปกลับประมาณ 2-3 ชั่วโมง ระหว่างทางจะพบทั้งศาลเจ้าขนาดเล็กและเสาโทริอิขนาดย่อมที่ได้รับบริจาคจากผู้คนทั่วไป
⇒ การเดินทางมาศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ
- นั่งรถไฟสาย JR สาย Nara Line มาลงที่สถานี Inari แล้วเดินต่ออีก 3 นาที
- นั่งรถไฟสาย Keihan Main Line มาลงที่สถานี Fushimi-Inari แล้วเดินต่ออีก 6 นาที
⇒ บทความรีวิว
6. ศาลเจ้ากลางน้ำ อิสึคุชิมะ (Itsukushima Shrine)
— จังหวัดฮิโรชิม่า (Hiroshima)
( แผนที่)
ศาลเจ้าอิสึคุชิมะ (Itsukushima Shrine) ตั้งอยู่ที่เกาะมิยาจิม่า (Miyajima) ในจังหวัดฮิโรชิม่า (Hiroshima) เป็นศาลเจ้าที่โด่งดังเพราะมีลักษณะคล้ายแพลอยอยู่เหนือพื้นดิน เมื่อน้ำทะเลขึ้นก็จะทำให้เหมือนศาลเจ้าลอยอยู่บนน้ำ ซึ่งมีความงดงามถึงกับอยู่ในหนังสือท่องเที่ยวญี่ปุ่นหลายเล่ม ใครที่ชอบศาลเจ้าสวยๆ แบบนี้ห้ามพลาด Check-in ที่นี่เลยนะคะ
ศาลเจ้าอิสึคุชิมะสร้างขึ้นเพื่อบูชาลูกสาวสามคนของเทพเจ้าแห่งพายุและท้องทะเล คือ ซูซาโนะโอะ โน มิโคโตะ (Sosano-o no mikoto) และเทพเจ้าหญิงแห่งดวงอาทิตย์ อามาเทระสุ (Amaterasu) นอกจากตัวศาลเจ้าแล้ว จุดเด่นอีกอย่างคือเสาโทริอิยักษ์สีแดงตั้งอยู่กลางทะเล โดยมีความสูงถึง 16 เมตร ที่น่าตกใจคือสร้างโดยไม่มีการตอกเสาเข็มนะคะ คาดว่าด้วยน้ำหนักกว่า 60 ตันจึงทำให้ตั้งอยู่ได้เอง เป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อแถมจะถ่ายรูปมุมไหนก็งดงามทีเดียวค่ะ
⇒ การเดินทางมาศาลเจ้าอิสึคุชิมะ
- นั่งรถไฟ JR จากสถานี Hiroshima มาลงที่สถานี Miyajimaguchi แล้วต่อเรือ JR Miyajima Ferry ข้ามมายังเกาะมิยาจิม่า (Miyajima) แล้วเดินต่ออีก 15 นาที
หมายเหตุ
- เสาโทริอิกลางน้ำจะมีการซ่อมบำรุงครั้งใหญ่ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ค.ศ. 2019 ถึงประมาณเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2020 โดยจะมีการติดตั้งนั่งร้านและคลุมผ้าใบที่เสา
7. ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle)
— จังหวัดโอซาก้า (Osaka)
( แผนที่)
ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle) เป็นแลนด์มาร์คที่ตั้งอยู่ใจกลางจังหวัดโอซาก้า (Osaka) ใครชื่นชอบปราสาทญี่ปุ่นยุคโบราณต้องไม่พลาดมา Check-in ที่นี่เลยนะคะ เพราะมีจุดเด่นที่ประตูขนาดใหญ่และป้อมปราการรอบปราสาท โดยปราสาทโอซาก้าสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 16 เป็นที่พำนักของโทโยโทมิ ฮิเดโยชิ หนึ่งในบุคคลสำคัญของญี่ปุ่น ซึ่งปราสาทแห่งนี้ถือเป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของญี่ปุ่นเลยค่ะ
นอกจากตัวปราสาทที่งดงามจนดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งญี่ปุ่นและชาวต่างชาติแล้ว ยังมีจุดชมซากุระที่งดงามมากทีเดียว ไม่ว่าจะที่ตัวปราสาทและสวนนิชิโนะมารุ (Nisinomaru Garden) ซึ่งบริเวณเหล่านี้เรียกว่า สวนปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle Park) ในฤดูใบไม้ผลิจะเต็มไปด้วยดอกซากุระที่บานสะพรั่ง โดยมีต้นซากุระทั้งหมดกว่า 3,000 ต้นเลยทีเดียว
⇒ การเดินทางมาปราสาทโอซาก้า
- นั่งรถไฟใต้ดินสาย Chuo Line หรือ Tanimachi Line มาลงที่สถานี Tanimachi 4-chrome แล้วเดินต่ออีก 15 นาที
- นั่งรถไฟใต้ดินสาย Chuo Line หรือ Nagahoritsurumiryokuchi Line มาลงที่สถานี Morinomiya แล้วเดินต่ออีก 20 นาที
- นั่งรถไฟ JR สาย Osaka Loop Line มาลงที่สถานี Osakajokoen หรือ Morinomiya แล้วเดินต่ออีก 20 นาที
8. วัดพระใหญ่ โคโตคุอิน (Kotoku-in Temple)
— จังหวัดคานากาว่า (Kanagawa)
( แผนที่)
วัดโคโตคุอิน (Kotoku-in Temple) ตั้งอยู่ที่เมืองคามาคุระ (Kamakura) ในจังหวัดคานากาว่า (Kanagawa) เป็นวัดที่มีพระพุทธรูปขนาดใหญ่ สร้างจากทองแดง สูง 11 เมตร หนัก 21 ตัน ถือเป็นพระพุทธรูปที่ใหญ่เป็นอันดับสองของญี่ปุ่นรองจากพระใหญ่ของวัดโทไดจิ (Todai-ji Temple) จังหวัดนารา (Nara) แต่เดิมพระพุทธรูปองค์นี้ประดิษฐานอยู่ภายในอาคารวัด แต่ได้รับความเสียหายจากไต้ฝุ่น ทำให้ปัจจุบันอยู่ในพื้นที่เปิดโล่ง จึงทำให้ถ่ายรูปสวยไปอีกแบบค่ะ
พระใหญ่ โคโตคุอิน สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1252 ซึ่งถือว่าเก่าแก่มากทีเดียว ใครที่มาเยี่ยมชมที่วัดแห่งนี้ เมื่อสักการะบูชาพระพุทธรูปขนาดใหญ่เสร็จแล้ว สามารถซื้อเครื่องราง พระพุทธรูป และหนังสือพุทธประวัติ ติดไม้ติดมือกลับไปเป็นของที่ระลึกหรือของฝากได้ด้วยนะคะ
⇒ การเดินทางมาวัดโคโตคุอิน
- นั่งรถไฟสาย JR จากสถานี Tokyo มาลงที่สถานี Kamakura แล้วเดินประมาณ 15 นาที หรือต่อรถไฟสาย Enoden จากสถานี Kamakura มาลงที่สถานี Hase แล้วเดินประมาณ 5 นาที
9. หมู่บ้านมรดกโลก ชิราคาวะโก (Shirakawa-go)
— จังหวัดกิฟุ (Gifu)
( แผนที่)
หากพูดถึงหมู่บ้านชิราคาวะโก (Shirakawa-go) ในจังหวัดกิฟุ (Gifu) หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าเป็นชื่อหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ความจริงแล้วหมายถึงสถานที่ที่ประกอบด้วย 16 หมู่บ้านค่ะ โดยหมู่บ้านที่ได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวคือหมู่บ้านโอกิมาจิ (Ogimachi) เป็นหมู่บ้านชาวนาเก่าแก่ที่ได้รับการอนุรักษ์ความดั้งเดิมเอาไว้จนได้รับขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลก ของ UNESCO ในปี ค.ศ. 1995
สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของชิราคาวะโกคือหลังคาทรงสูงที่เรียกว่า กัสโชซึคุริ (Gassho-Zukuri) ซึ่งมีรูปทรงเหมือนการพนมมือจากหลังคาแบบคายาบุกิที่ต่อกันค่ะ ภายในหมู่บ้านมีทั้งบ้านที่เป็นพิพิธภัณฑ์ให้เที่ยวชมและบ้านที่มีชาวบ้านอาศัยอยู่จริงและเปิดให้นักท่องเที่ยวพักค้างคืน ฤดูที่นักท่องเที่ยวนิยมมามากที่สุดคือฤดูหนาว เพราะหมู่บ้านจะปกคลุมด้วยหิมะสีขาว ซึ่งมีความงดงามมากค่ะ
⇒ การเดินทางมาหมู่บ้านชิราคาวะโก
- นั่งรถบัสจาก Takayama Nohi Bus Center มาที่ Shirakawa-go Bus Terminal ใช้เวลาประมาณ 50 นาที
- นั่งรถบัสจากสถานี JR Kanazawa มาที่ Shirakawa-go Bus Terminal ใช้เวลาประมาณ 75 นาที
- นั่งรถบัสจากสถานี JR Toyama มาที่ Shirakawa-go Bus Terminal ใช้เวลาประมาณ 120 นาที
10. ทุ่งดอกลาเวนเดอร์ ฟาร์มโทมิตะ (Farm Tomita)
— จังหวัดฮอกไกโด (Hokkaido)
( แผนที่)
ฟาร์มโทมิตะ (Farm Tomita) ตั้งอยู่ที่เมืองฟุราโนะ (Furano) ในจังหวัดฮอกไกโด (Hokkaido) ถือเป็นจุดชมดอกลาเวนเดอร์ที่ดีที่สุดของเมือง เพราะมีฉากหลังเป็นภูเขาโทคาจิ (Tokachi Mountain) และยังมีทุ่งดอกไม้อีก 7 สีเป็นเกลียวคลื่นแถมที่นี่ยังเปิดให้เข้าชมฟรีด้วยค่ะ
ช่วงที่ดอกลาเวนเดอร์บานสะพรั่งจนมีสีม่วงสวยไปทั่วคือช่วงหน้าร้อน ประมาณกลางเดือนกรกฎาคมถึงต้นเดือนสิงหาคม ใครชอบดอกลาเวนเดอร์ห้ามพลาดมา Check-in ที่นี่เลยนะคะ แต่ถ้ามาในช่วงเวลาอื่นๆ ก็มีดอกไม้ให้เยี่ยมชมเช่นกันค่ะ ถ้ามาช่วงมิถุนายนจะพบดอกป๊อบปี้และดอกลูปิน เดือนกรกฎาคมมีดอกลิลลี่ ส่วนสิงหาคมถึงกันยายนมีตั้งแต่ดอกทานตะวัน ดอกซัลเวีย ไปจนถึงดอกคอสมอสเลยค่ะ
⇒ การเดินทางมาฟาร์มโทมิตะ
- นั่งรถไฟ JR สาย Furano-Biei Norokko-go มาลงที่สถานี Lavender Farm (ให้บริการเฉพาะช่วงฤดูร้อน) แล้วเดินต่ออีก 7 นาที
- นั่งรถไฟ JR มาลงที่สถานี Nakafurano แล้วเดินต่ออีก 25 นาทีหรือต่อแท็กซี่ประมาณ 5 นาที
- นั่งรถบัส Furano Bus (Kaisoku Lavender-go) มาลงที่ป้าย Nakafurano แล้วเดินต่ออีก 25 นาทีหรือต่อแท็กซี่ประมาณ 5 นาที
ส่งท้าย
อ่านถึงตรงนี้แล้วคงมีตัวเลือกสถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่นไว้ในใจกันบ้างแล้วว่าจะไป Check-in ที่ไหนดี แต่บางคนอาจยิ่งลังเลเข้าไปใหญ่เพราะอยากไปเกือบทุกที่ใช่ไหมคะ อย่างไรก็ตาม นอกจากสถานที่ที่เป็นแลนด์มาร์คสำคัญ ญี่ปุ่นก็ยังมีแหล่งท่องเที่ยวอีกหลายแห่งที่น่าไปเที่ยวชมด้วยตนเอง แล้วอาจพบบางสถานที่ที่ถูกใจคุณเพิ่มขึ้นมาอีกก็ได้นะคะ
สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำในญี่ปุ่น
- สถานที่ท่องเที่ยวแลนด์มาร์คในญี่ปุ่นสำหรับ Check-in!
- วัดญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวและต้องมา Check-in!
- ศาลเจ้าญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวและต้องมา Check-in!
- ปราสาทญี่ปุ่นสวยๆ จากทั่วประเทศญี่ปุ่นที่ต้องมา Check-in!
- สวนสนุกในญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมและต้องมา Check-in!
- กระเช้าลอยฟ้าสำหรับชมวิวสวยๆ ในญี่ปุ่นที่ต้องมา Check-in!
- หอคอยและจุดชมวิวบนอาคารสูงในญี่ปุ่นที่ต้องมา Check-in!
- สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาวที่ต้องมา Check-in!
- แหล่งออนเซ็นยอดนิยมในญี่ปุ่น พร้อมวิธีการแช่ออนเซ็นที่ถูกต้อง
แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในญี่ปุ่น
- สถานที่ท่องเที่ยวในโตเกียว (Tokyo) ที่ต้องมา Check-in!
- สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองซัปโปโร (Sapporo) ที่ต้องมา Check-in!
- สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองโอซาก้า (Osaka) ที่ต้องมา Check-in!
- สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองเกียวโต (Kyoto) ที่ต้องมา Check-in!
- สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองนาโกย่า (Nagoya) ที่ต้องมา Check-in!
- สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองฟุกุโอกะ (Fukuoka) ที่ต้องมา Check-in!