ศาลเจ้าในประเทศญี่ปุ่นเป็นสถานที่ที่สร้างขึ้นเพื่อสักการะบูชาเทพเจ้า ตามความเชื่อทางศาสนาชินโตที่ว่าสถานที่ต่าง ๆ ย่อมมีเทพเจ้าสถิตอยู่ ศาลเจ้าบางแห่งก็มีความเก่าแก่กว่าพันปี และมีความเป็นมาที่แตกต่างกันไป
ดังนั้นการไปสักการะบูชาศาลเจ้า นอกจากจะได้แสดงความเคารพต่อเทพเจ้าและขอพรแล้ว ยังได้สัมผัสถึงวัฒนธรรม ความเชื่อ และประวัติศาสตร์ของชาวญี่ปุ่นด้วยค่ะ สำหรับการสักการะขอพรศาลเจ้าญี่ปุ่นส่วนใหญ่นั้นก็จะโยนเหรียญ (นิยมเป็นเหรียญ 5 เยน) ลงไปในกล่อง แล้วโค้ง 2 ครั้งและปรบมือ 2 ครั้ง จากนั้นให้ขอพร แล้วปิดท้ายด้วยการโค้งอีกหนึ่งครั้งค่ะ
เราไปดูกันดีกว่าว่า 15 ศาลเจ้าญี่ปุ่นที่ห้ามพลาดมาเยือนนั้นมีอะไรบ้าง ซึ่งเราจะขอแนะนำจากทางเหนือลงไปทางใต้ของญี่ปุ่นนะคะ
15 ศาลเจ้าญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว
ศาลเจ้าฮอกไกโด (Hokkaido Shrine)
— จังหวัดฮอกไกโด (Hokkaido)
( แผนที่)
ศาลเจ้าฮอกไกโด (Hokkaido Shrine หรือ Hokkaido Jingu) เป็นศาลเจ้าแบบชินโตประจำเกาะฮอกไกโด (Hokkaido) ที่สร้างขึ้นในยุคสมัยเมจิ มีอายุกว่า 140 ปี บริเวณศาลเจ้าโอบล้อมด้วยภูเขาทั้งสามด้าน คนท้องถิ่นเชื่อว่ามีผู้พิทักษ์คอยปกป้องรักษาคนฮอกไกโดให้มีความสงบสุข จึงมากราบไหว้ขอพรกันในวันสำคัญ เช่น วันปีใหม่ วันเกิดของเด็ก ๆ ไปจนกระทั่งวันแต่งงานก็มีคนมาจัดงานในศาลเจ้าค่ะ
ศาลเจ้าฮอกไกโดเป็นศาลเจ้าที่สวยงาม อาคารไม้โดดเด่น ภายในประดิษฐานรูปปั้นของเทพเจ้าที่อัญเชิญมาตั้งแต่เริ่มสร้างศาลเจ้า มีต้นซากุระและต้นบ๊วยที่บานสะพรั่งพร้อมกันในฤดูใบไม้ผลิ จึงเป็นสถานที่ชมซากุระอีกแห่งที่สวยงามไม่แพ้ที่ไหนเลยค่ะ เวลาเปิดของศาลเจ้าเริ่มตั้งแต่ 9:00 – 17:00 น. ส่วนฤดูหนาวจะปิดในเวลา 16:00 น. นะคะ
⇒ การเดินทางมาศาลเจ้าฮอกไกโด (Hokkaido Shrine)
- นั่งรถไฟใต้ดิน Sapporo Subway สาย Tozai มาลงที่สถานี Maruyama Koen แล้วเดินอีกประมาณ 10 นาที
ศาลเจ้านิกโกโทโชงู (Nikko Toshogu Shrine)
— จังหวัดโทชิงิ (Tochigi)
( แผนที่)
ศาลเจ้านิกโกโทโชงู (Nikko Toshogu Shrine) ตั้งอยู่ในเมืองนิกโก (Nikko) ที่จังหวัดโทชิงิ (Tochigi) สร้างขึ้นเพื่ออุทิศและสักการะโชกุน โทกุงาวะ อิเอยาสุ เป็นศาลเจ้าที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ทางด้านซ้ายและขวาของประตูทางเข้ามีรูปปั้นอ้าปากและรูปปั้นปิดปากตั้งอยู่ ส่วนด้านหลังเป็นรูปปั้นสิงห์ที่เชื่อว่ามีหน้าที่คุ้มครองศาลเจ้า ซึ่งศาลเจ้านิกโกโทโชงูเป็นศาลเจ้าที่ผสมผสานความเชื่อระหว่างพุทธและชินโต นับว่าเป็นเรื่องแปลกในญี่ปุ่นทีเดียวค่ะ
ผ่านประตูเข้ามาแล้วจะพบว่าภายในศาลเจ้าประกอบด้วยสถาปัตยกรรมกว่า 55 หลัง เป็นมรดกทางวัฒนธรรม 34 หลัง และสมบัติของชาติ 8 หลัง ทั้งยังเต็มไปด้วยประติมากรรมชิ้นเอกอันงดงามและมีชื่อเสียง เช่น รูปแกะสลักช้างบนโกดังคามิจินโคะ รูปแกะสลักแมวนอนหลับ รูปแกะสลักลิงสามตัวที่ชื่อว่า มิซารุ คิคาซารุ อิวาซารุ (Mizaru Kikazaru Iwazaru) หรือรูปแกะสลักลิงปิดตา ปิดหู และปิดปากนั่นเองค่ะ สามารถแวะมาเยี่ยมชมศาลเจ้าได้ตั้งแต่เวลา 8:00 – 17:00 น. ในเดือนเมษายนถึงตุลาคม ส่วนเดือนพฤศจิกายนถึงมีนาคมเปิดทำการตั้งแต่เวลา 8:00 – 16:00 น. ค่ะ
⇒ การเดินทางมาศาลเจ้านิกโกโทโชงู (Nikko Toshogu Shrine)
- นั่งรถบัสจากสถานี Tobu หรือ JR Nikko มาลงที่ป้าย Omotesando แล้วเดินต่ออีกประมาณ 5 นาที
ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Shrine)
— จังหวัดโตเกียว (Tokyo)
( แผนที่)
ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Shrine หรือ Meiji Jingu) ตั้งอยู่ที่ย่านฮาราจูกุ (Harajuku) เขตชิบูย่า (Shibuya) จังหวัดโตเกียว (Tokyo) สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่พระจักรพรรดิเมจิและพระจักรพรรดินีโชเก็งในสมัยเมจิ เป็นศาลเจ้าขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่กว่า 7 แสนตารางเมตรทีเดียวค่ะ และมีบรรยากาศร่มรื่นเพราะเต็มไปด้วยต้นไม้กว่า 120,000 ต้นทีเดียว ทั้งนี้ยังมีโทริอิ หรือเสาประตูทางเข้าศาลเจ้าที่ทำจากไม้ มีความสูง 12 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 1.2 เมตร นับเป็นเสาโทริอิที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นนะคะ
ภายในศาลเจ้ามีสวนชื่อ Meiji Shrine Inner Garden ที่มีจุดเด่นคือดอกไอริสซึ่งจะบานในช่วงต้นมิถุนายน นอกจากธรรมชาติอันงดงามในศาลเจ้าแล้ว ที่นี่ยังเป็นสถานที่สำคัญในการประกอบงานพิธีต่าง ๆ เช่น โดเฮียวอิริ ที่ซูโม่ระดับสูงสุดหรือโยโคซึนะมาทำพิธีกรรมของชินโต วันคิเก็งไซ วันเฉลิมฉลองการสถาปนาประเทศ ทั้งนี้ศาลเจ้าเมจิยังขึ้นชื่อในการเป็นสถานที่จัดงานแต่งงานแบบชินโตอีกด้วยค่ะ สำหรับเวลาเปิดปิดของศาลเจ้าเมจิจะแตกต่างจากศาลเจ้าอื่นตรงที่เวลาเปิดปิดยึดตามเวลาพระอาทิตย์ขึ้นกับพระอาทิตย์ตกดินค่ะ
⇒ การเดินทางมาศาลเจ้าเมจิ (Meiji Shrine)
- นั่งรถไฟ JR สาย Yamanote Line มาลงที่สถานี Harajuku
- นั่งรถไฟ ใต้ดิน Tokyo Metro สาย Chiyoda Line หรือ Fukutoshin Line มาลงที่สถานี Meiji-Jingumae ‘Harajuku’
ศาลเจ้าทซึรุงะโอะกะ ฮะจิมังกู (Tsurugaoka Hachimangu)
— จังหวัดคานากาว่า (Kanagawa)
( แผนที่)
ชื่อของ ศาลเจ้าทซึรุงะโอะกะ ฮะจิมังกู (Tsurugaoka Hachimangu) หมายถึงเทพเจ้าแห่งสงครามของญี่ปุ่น เป็นสัญลักษณ์ของเมืองคามาคุระ (Kamakura) ที่จังหวัดคานากาว่า (Kanagawa) ศาลเจ้าฮะจิมังกูมีอีกหลายแห่งในญี่ปุ่น ตามตำนานที่เล่าว่านกพิราบเป็นตัวนำทางให้ศาลเจ้าฮะจิมังกูกระจายไปที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศค่ะ ซึ่งป้ายชื่อของศาลเจ้าทซึรุงะโอะกะ ฮะจิมังกู มีรูปนกพิราบซ่อนอยู่ในป้ายชื่อเพื่อเป็นการบูชาไปในตัวค่ะ
ที่ศาลเจ้าตอนบนหรือโจกุ ตั้งอยู่จุดสูงสุดของบันไดหิน ได้รับการสร้างขึ้นโดยโทกุงาวะ อิเอนาริ โชกุนคนที่ 11 ของรัฐบาลในยุคเอโดะ จากตรงนั้นสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองคามาคุระได้จากตรงนี้เลยค่ะ ส่วนศาลเจ้าตอนล่างหรือเกกุนับเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมของชาติทีเดียวค่ะ ส่วนเวลาเปิดให้เข้าชมคือ 8:00 – 21:00 น. ค่ะ
⇒ การเดินทางมาศาลเจ้าทซึรุงะโอะกะ ฮะจิมังกู (Tsurugaoka Hachimangu)
- นั่งรถไฟ JR สาย Shonan-Shinjuku Line หรือ Yokosuka Line มาลงที่สถานี Kamakura แล้วเดินต่ออีกประมาณ 15 นาที
ศาลเจ้าฮาโกเน่ (Hakone Shrine)
— จังหวัดคานากาว่า (Kanagawa)
( แผนที่)
ศาลเจ้าฮาโกเน่ (Hakone Shrine) ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าเขียวชะอุ่ม ใกล้ทะเลสาบอาชิ (Ashi Lake) ในจังหวัดคานากาว่า (Kanagawa) ซึ่งเชื่อกันว่ามีเทพเจ้าหลายองค์สถิตอยู่ค่ะ ศาลเจ้าฮาโกเน่สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 745 ที่ยอดเขาฮาโกเน่ พร้อมกับตำนานว่ามีมังกร 9 หัวทำให้เกิดภัยพิบัติ จนเมื่อปี 1667 จึงมีนักบวชผนึกมังกร 9 หัวไว้ในทะเลสาบอาชิและย้ายศาลเจ้ามาอยู่ริมทะเลสาบจนถึงทุกวันนี้นั่นเองค่ะ
จุดสังเกตของศาลเจ้าคือเสาโทริอิสีแดงส้มที่ตั้งอยู่อย่างโดดเด่น ศาลเจ้าฮาโกเน่ขึ้นชื่อเรื่องการขอพรค่ะ โดยภายในศาลเจ้ามีการเขียนแผ่นป้ายอธิษฐานหรือ เอมะ (Ema) แล้วนำไปห้อยเอาไว้ ทั้งยังมีการเสี่ยงเซียมซีและมีเครื่องรางจำหน่ายด้วยนะคะ
ศาลเจ้าฮาโกเน่เป็นศาลเจ้าอีกแห่งที่ขึ้นชื่อว่าอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันงดงาม ทั้งด้านหน้าและตลอดสองฝั่งทางเดินที่เป็นบันไดหินของศาลเจ้าเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ตระการตาจนเหมือนมีมนต์ขลังเลยค่ะ ทั้งนี้ยังมีตะเกียงแขวนเรียงรายตลอดทาง ตอนกลางคืนจึงเป็นภาพที่สวยงามมากค่ะ คนที่อยากมาเที่ยวที่นี่ ก็สามารถแวะมาเยี่ยมเยือนได้ตลอดเวลาเลยค่ะ
⇒ การเดินทางมาศาลเจ้าฮาโกเน่ (Hakone Shrine)
- นั่งรถบัส Tozan Bus (H route) จากสถานี Hakone-Yumoto มาลงป้าย Moto-Hakone แล้วเดินต่ออีก 10 นาที
ศาลเจ้าอะสึตะ (Atsuta Shrine)
— จังหวัดไอจิ (Aichi)
( แผนที่)
ศาลเจ้าอะสึตะ (Atsuta Shrine) เป็นศาลเจ้าของศาสนาชินโตที่มีความสำคัญรองลงมาจากศาลเจ้าใหญ่แห่งอิเสะ (Ise Grand Shrine) ตั้งอยู่ในเมืองนาโกย่า (Nagoya) จังหวัดไอจิ (Aichi) มีผู้มาสักการะบูชาปีละประมาณ 9 ล้านคนทีเดียวค่ะ ทั้งนี้ยังเป็นสถานที่เก็บหนึ่งในเครื่องราชกุธภัณฑ์แห่งพระจักรพรรดิ คือ ดาบคุซานางิ (Kusanagi Sward) ซึ่งเป็นตัวแทนเรื่องความกล้าหาญตามความหมายขององค์ธรรมสามประการแห่งกษัตริย์ค่ะ
ภายในศาลเจ้ายังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงโบราณวัตถุอีกกว่า 4,000 ชิ้น ซึ่งได้รับบริจาคมาจากผู้ศรัทธาในศาสนาชินโตแทบทั้งหมดค่ะ ส่วนกำแพงของศาลเจ้าที่บุด้วยแผ่นกระเบื้องหลังคาแบบดั้งเดิม คือกำแพงโนบุนากะเบ ที่สร้างขึ้นโดยโชกุนโอดะ โนบุนางะ หลังจากชนะศึกแห่งโอเคฮาซามะเมื่อปี ค.ศ. 1560 ค่ะ สำหรับเวลาเปิดของศาลเจ้าคือตลอด 24 ชั่วโมงเลยค่ะ แต่ในส่วนพิพิธภัณฑ์เปิด 9:00 – 16:30 น. ค่ะ
⇒ การเดินทางมาศาลเจ้าอะสึตะ (Atsuta Shrine)
- นั่งรถไฟใต้ดินสาย Meijo Line มาลงที่สถานี Jingunishi แล้วเดินต่ออีก 7 นาที
- นั่งรถไฟสาย Meitetsu Line มาลงที่สถานี Jingumae แล้วเดินต่ออีก 3 นาที
- นั่งรถไฟสาย JR สาย Tokaido Line มาลงที่สถานี Atsuta แล้วเดินต่ออีก 8 นาที
ศาลเจ้าอิเสะจิงงู (Ise Jingu)
— จังหวัดมิเอะ (Mie)
( แผนที่)
ศาลเจ้าอิเสะจิงงู (Ise Jingu หรือ Ise Grand Shrine) เป็นศาลเจ้าทางศาสนาชินโตที่มีความสำคัญที่สุด ตั้งอยู่ในจังหวัดมิเอะ (Mie) ถือเป็นศาลเจ้าเก่าแก่ที่ผู้คนสักการะบูชามากว่า 2,000 ปีแล้วค่ะ โดยบริเวณศาลเจ้าแบ่งออกได้เป็นสองส่วนคือ ศาลเจ้าด้านนอก หรือ เกะคู (Geku) และศาลเจ้าด้านใน หรือ ไนคู (Naiku) โดยสองส่วนห่างกันประมาณ 6 กิโลเมตร หากจะมาเยี่ยมชมทั้งสองส่วนในวันเดียวคงต้องวางแผนเรื่องเวลากันหน่อยนะคะ
เสาโทริอิของศาลเจ้าอิเสะจิงงูเป็นไม้สีขาว ดูสง่าสงามแตกต่างจากที่อื่นทีเดียว และตัวศาลเจ้าของที่นี่สร้างจากไม้ที่ไม่ใช้ตะปูหรือเชือกเชื่อมต่อกันเลยแม้แต่นิดเดียว แต่อาศัยความสามารถของช่างที่สามารถประกอบไม้ให้ลงล็อกได้โดยไม่ต้องใช้ตัวช่วยค่ะ ซึ่งจากการสร้างศาลเจ้าในลักษณะนี้ ทุก ๆ 20 ปีจึงต้องมีการย้ายตำแหน่งของศาลเจ้าและสร้างศาลเจ้าขึ้นมาใหม่ ที่สำคัญมีการเคลื่อนย้ายหนึ่งในเครื่องราชกกุธภัณฑ์แห่งพระจักรพรรดิ คือ กระจกยาตะ (Yata no Kagami) ที่เก็บรักษาไว้ที่ศาลเจ้าอิเสะจิงงูด้วยค่ะ
บางส่วนของศาลเจ้านี้เราไม่สามารถถ่ายรูปได้นะคะเพราะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นต้องสังเกตและระมัดระวังกันหน่อยค่ะ ส่วนเวลาเปิดปิดของศาลเจ้าคือ 5:00 – 18:00 น. ค่ะ
⇒ การเดินทางมาศาลเจ้าอิเสะจิงงู (Ise Jingu)
- นั่งรถไฟ JR หรือ Kintetsu มาลงที่สถานี Iseshi แล้วเดินหรือนั่งรถบัสประมาณ 5 นาทีเพื่อมายังศาลเจ้าด้านนอก (Geku) ก่อน จากนั้นให้นั่งรถบัสประมาณ 10 นาที เพื่อมายังศาลเจ้าด้านใน (Naiku)
ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (Fushimi Inari Taisha)
— จังหวัดเกียวโต (Kyoto)
( แผนที่)
ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (Fushimi Inari Taisha) ตั้งอยู่ที่จังหวัดเกียวโต (Kyoto) เป็นอารามหลักของศาลเจ้าอินาริซึ่งหมายถึงศาลเจ้าที่มีเทพอินาริ หรือเทพแห่งพืชพันธุ์ธัญญาหารของญี่ปุ่นสถิตอยู่ มีอีกชื่อว่า ‘ศาลเจ้าแดง’ หรือ ‘ศาลเจ้าจิ้งจอก’ เนื่องจากจิ้งจอกเป็นผู้นำสารของเทพอินาริ ศาลเจ้าแห่งนี้มีชื่อเสียงเรื่องเสาโทริอิสีแดงเรียงต่อกันเป็นซุ้มทางเดิน ดูสวยงามและมีเสน่ห์มากค่ะ
ปัจจุบัน ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริมีเสาโทริอิอยู่กว่าหนึ่งหมื่นต้น ตามทางเดินของศาลเจ้าเราสามารถพบศาลเจ้าขนาดเล็กรวมถึงเสาโทริอิขนาดเล็กด้วยนะคะ โดยเป็นเสาโทริอิที่ได้รับบริจาคจากผู้มาเยือน เมื่อเดินมาจนครึ่งทางซึ่งใช้เวลาประมาณ 35-40 นาทีจะมาถึงแยกโยสึสึจิซึ่งเป็นจุดพักก่อนขึ้นเขา สามารถแวะชมทัศนียภาพได้ค่ะ
อย่างไรก็ตามที่นี่ไม่ได้โดดเด่นแค่เสาโทริอิ อาคารศาลเจ้าก็งดงามเช่นกันค่ะ เพราะมีประตูโรมอนอยู่ตรงทางเข้า และประตูฮอนเด็นอยู่ด้านหลัง ใครที่สนใจมาเยี่ยมชม สามารถมาได้ทุกวัน 24 ชั่วโมงไม่มีวันหยุดเลยค่ะ
⇒ การเดินทางมาศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (Fushimi Inari Taisha)
- นั่งรถไฟสาย JR สาย Nara Line มาลงที่สถานี Inari แล้วเดินต่ออีก 3 นาที
- นั่งรถไฟสาย Keihan Main Line มาลงที่สถานี Fushimi-Inari แล้วเดินต่ออีก 6 นาที
ศาลเจ้ายาซากะ (Yasaka Shrine)
— จังหวัดเกียวโต (Kyoto)
( แผนที่)
ศาลเจ้ายาซากะ (Yasaka Shrine) มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า ‘ศาลเจ้ากิออน (Gion Shrine)’ เพราะตั้งอยู่ระหว่างย่านกิออน (Gion) และย่านฮิกาชิยามา (Higashiyama) ในจังหวัดเกียวโต (Kyoto) และยังเป็นสถานที่จัดเทศกาลกิออน (Gion Matsuri) อีกด้วยค่ะ โดยเทศกาลนี้เป็น 1 ใน 3 เทศกาลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น มีขบวนแห่หลายแบบสุดอลังการ จัดขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคมของทุกปีค่ะ
ในส่วนของศาลเจ้ายาซากะ ได้สร้างขึ้นประมาณ 1,350 ปีที่แล้ว เทพเจ้าที่ปกปักษ์รักษาที่นี่คือสองสามีภรรยาชื่อ ซุซาโนะโอะโนะมิโคโตะ และ คุชินาดะฮิเมะโนะมิโคโตะ จึงทำให้ที่นี่ขึ้นชื่อด้านความรัก แผ่นไม้ขอพรยังเป็นรูปหัวใจไปด้วย ถือเป็นรายละเอียดเล็กๆ ที่น่าประทับใจค่ะ ส่วนสถาปัตยกรรมของศาลเจ้าเป็นแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม ตกแต่งด้วยโคมไฟ ทำให้ช่วงกลางคืนประดับประดาด้วยแสงไฟอันสวยงาม ซึ่งที่มาของโคมไฟเหล่านี้มาจากการบริจาคของร้านค้าต่าง ๆ ในเกียวโตค่ะ
นอกจากเทศกาลกิออนแล้ว ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ศาลเจ้ายาซากะยังเป็นจุดชมซากุระที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวด้วยนะคะ ใครอยากมาเที่ยวชมก็สามารถมาได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุดค่ะ
⇒ การเดินทางมาศาลเจ้ายาซากะ (Yasaka Shrine)
- นั่งรถบัสสาย 100 หรือ 206 จากสถานี Kyoto มาลงที่ป้าย Gion แล้วเดินต่ออีก 1 นาที
- นั่งรถไฟสาย Keihan Line มาลงที่สถานี Gion Shijo แล้วเดินต่ออีก 8 นาที
- นั่งรถไฟสาย Hankyu Line มาลงที่สถานี Kawaramachi แล้วเดินต่ออีก 10 นาที
ศาลเจ้าสุมิโยชิไทฉะ (Sumiyoshi Taisha)
— จังหวัดโอซาก้า (Osaka)
( แผนที่)
ศาลเจ้าสุมิโยชิไทฉะ (Sumiyoshi Taisha) ตั้งอยู่ที่จังหวัดโอซาก้า (Osaka) เป็นศาลเจ้าทางศาสนาชินโต และเป็นหนึ่งในศาลเจ้าที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 211 ก่อนที่ศาสนาพุทธจะเข้ามาในญี่ปุ่นเสียอีกค่ะ ศาลเจ้าสุมิโยชิไทเป็นที่สถิตของเทพเจ้าคามิหรือเทพเจ้าชินโตที่จะให้ความคุ้มครองนักเดินทางและชาวประมง
จุดเด่นของศาลเจ้าชินโตมีทั้งตัวสถาปัตยกรรมแบบหลังคาลาดตรง ไม่โค้งมนเหมือนศาลเจ้าอื่นๆ และสะพานโค้งสีแดงสุมิโยชิ โซริฮาชิ (Sumiyoshi Sorihashi) หรืออีกชื่อว่า ไทโกะบาชิ (Taikobashi) ซึ่งถูกจัดเป็น 1 ใน 100 วิวที่สวยที่สุดในภูมิภาคคันไซเลยล่ะค่ะ สำหรับเวลาเยี่ยมชมของศาลเจ้าสุมิโยชิไทฉะในช่วงเมษายนถึงกันยายน คือ 6:00 – 17:00 น. และตุลาคมถึงมีนาคม คือ 6:30 – 17.00 น. ค่ะ
⇒ การเดินทางมาศาลเจ้าสุมิโยชิไทฉะ (Sumiyoshi Taisha)
- นั่งรถไฟสาย Nankai Line มาลงที่สถานี Sumiyoshitaisha แล้วเดินอีกเพียง 2 นาที
ศาลเจ้าคาซุงะไทฉะ (Kasuga Taisha)
— จังหวัดนารา (Nara)
( แผนที่)
ศาลเจ้าคาซุงะไทฉะ (Kasuga Taisha) ตั้งอยู่ที่จังหวัดนารา (Nara) เดิมเป็นศาลเจ้าของตระกูลฟูจิวาระที่มีอิทธิพลในสมัยนาราและเฮอัน ศาลเจ้านี้ได้รับการสร้างขึ้นตอนสถาปนาเมืองนาราเป็นเมืองหลวงของญี่ปุ่นจึงมีความเก่าแก่และสำคัญทางประวัติศาสตร์ ทั้งยังได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย UNESCO ค่ะ
ศาลเจ้าคาซุงะไทฉะขึ้นชื่อในด้านตะเกียงที่ประดับอยู่ทั่วศาลเจ้ากว่าสามพันดวง ทั้งตะเกียงแขวน ตะเกียงหินและตะเกียงตั้งพื้นซึ่งมีผู้ร่วมบริจาคเข้ามา นอกจากนี้ยังโดดเด่นด้วยต้นสนซีดาร์ขนาดยักษ์ที่มีอายุมากกว่า 800 ปี
ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์และสิงหาคมจะมีการจัดเทศกาลตะเกียงด้วยนะคะ แน่นอนว่าศาลเจ้าคาซุงะไทฉะช่วงพลบค่ำจะเต็มไปด้วยไฟของตะเกียงที่ถูกประดับประดาไว้อย่างสวยงาม ส่วนเวลาเปิดทำการของศาลเจ้าคือ 6:00 – 18:00 น. ส่วนเดือนตุลาคมถึงเดือนมีนาคมคือเวลา 6:30 – 17:00 น. ค่ะ
⇒ การเดินทางมาศาลเจ้าสุมิโยชิไทฉะ (Kasuga Taisha)
- นั่งรถบัสจากสถานี Kintetsu Nara หรือ JR Nara มาลงที่ป้าย Kasuga Taisha Honden แล้วเดินอีกเพียง 2 นาที
ศาลเจ้าคุมะโนะนะชิไทฉะ (Kumano Nachi Taisha)
— จังหวัดวาคายามะ (Wakayama)
( แผนที่)
ศาลเจ้าคุมะโนะนะชิไทฉะ (Kumano Nachi Taisha) เป็นศาลเจ้าทางศาสนาชินโต และเป็นหนึ่งในเส้นทางแสวงบุญของชาวญี่ปุ่นมายาวนาน ตั้งอยู่ใกล้ภูเขานาจิ จังหวัดวาคายามะ (Wakayama) เชื่อว่าที่นี่เทพเจ้าหลายองค์สถิตอยู่ เช่น ฟุซุมิโนะคามิ (Fusuminokami) ทั้งนี้ศาจเจ้าคุมะโนะนะชิไทฉะเป็นหนึ่งในสามศาลเจ้าแห่งคุมะโนะ (Kumano) ที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO ด้วยนะคะ
จุดเด่นของศาลเจ้าคุมะโนะนะชิไทฉะคือเจดีย์สีแดงซัมจูโนะโตะ (Samjunoto Pagoda) ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าน้ำตกนะชิ (Nachi no Otaki) ที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นด้วยความสูง 133 เมตร ส่วนเส้นทางแสวงบุญที่ขึ้นชื่อประกอบไปด้วยบันไดหินถึง 467 ขั้น และมีอาคารวัดสีแดง 6 หลัง ซึ่งมีเทพเจ้าองค์ต่างๆ สถิตอยู่ เปิดให้เข้าชมเวลา 8:30 – 16:30 น. ส่วนเดือนพฤศจิกายนถึงมีนาคม เปิดเวลา 9:00 – 17:00 น. ค่ะ
⇒ การเดินทางมาศาลเจ้าคุมะโนะนะชิไทฉะ (Kumano Nachi Taisha)
- นั่งรถบัสจากสถานี Kii-Katsuura หรือ Nachi มาลงที่ป้าย Daimonzaka เดินตามเส้นทางอีกประมาณ 10 นาที
ศาลเจ้าอิซุโมะไทฉะ (Izumo Taisha)
— จังหวัดชิมาเนะ (Shimane)
( แผนที่)
ศาลเจ้าอิซุโมะไทฉะ (Izumo Taisha) ตั้งอยู่ที่จังหวัดชิมาเนะ (Shimane) เป็นหนึ่งในศาลเจ้าที่เก่าแก่ที่สุดในจังหวัดญี่ปุ่น เป็นที่สถิตของเทพเจ้าโอคุนินุชิ โอกามิ (Okaninushi Okami) ซึ่งตามตำนานแล้วเป็นผู้สร้างพื้นที่ประเทศญี่ปุ่น ทั้งยังเป็นเทพในด้านความรักด้วยค่ะ จึงทำให้ศาลเจ้าอิซุโมะไทฉะ ขึ้นชื่อเรื่องการขอพรด้านความรักนั่นเองค่ะ
สิ่งที่ทำให้ศาลเจ้าแห่งนี้แตกต่างจากที่อื่นคือขั้นตอนการขอพรค่ะ โดยปกติแล้วการขอพรในศาลเจ้าทั่วไป ให้โค้งคำนับสองครั้ง ปรบมือสองครั้ง อธิษฐาน แล้วโค้งคำนับอีกหนึ่งครั้ง ขณะที่ศาลเจ้าอิซุโมะไทฉะ ต้องปรบมือสี่ครั้งค่ะ ซึ่งสองครั้งแรกหมายถึงตนเอง และสองครั้งหลังสำหรับคนที่ตนเองรัก ใครสนใจอยากไปขอพรด้านความรักที่ศาลเจ้าอิซุโมะไทฉะ สามารถไปได้ทุกวัน ในเวลา 8:30 – 16:30 น. ค่ะ
⇒ การเดินทางมาศาลเจ้าอิซุโมะไทฉะ (Izumo Taisha)
- นั่งรถบัสจากสถานี JR Izumoshi มาลงที่ป้าย Izumo Taisha Grand Shrine
ศาลเจ้าอิสึคุชิมะ (Itsukushima Shrine)
— จังหวัดฮิโรชิม่า (Hiroshima)
( แผนที่)
ศาลเจ้าอิสึคุชิมะ (Itsukushima Shrine) ตั้งอยู่ที่เกาะมิยาจิม่า (Miyajima) จังหวัดฮิโรชิม่า (Hiroshima) เป็นศาลเจ้าที่ได้รับขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติของชาติญี่ปุ่น และมีชื่อเสียงว่าเป็นศาลเจ้าลอยน้ำ ส่วนประตูโทริอิสีแดงสดก็อยู่กลางทะเลอย่างโดดเด่นอีกด้วยค่ะ โดยเสาโทริอินี้มีความสูงถึง 16 เมตร ซึ่งน่าทึ่งตรงที่ว่าสามารถอยู่กลางทะเลได้โดยไม่ต้องตอกเสา แต่สามารถอยู่ได้ด้วยน้ำหนักของเสาที่หนักถึง 60 ตันค่ะ
การไปเยี่ยมชมหรือถ่ายรูปสวย ๆ ของศาลเจ้าอิสึคุชิมะนั้น เราจะได้ทัศนียภาพที่แตกต่างกันตามช่วงเวลาน้ำขึ้นหรือน้ำลง เพราะถ้าน้ำขึ้น ก็จะเห็นศาลเจ้าลอยอยู่กลางทะเล ถ้าน้ำลงเราสามารถเดินไปถึงเสาโทริอิได้ค่ะ ส่วนภายในศาลเจ้ามีเวทีสำหรับการแสดงบุงาคุและโนห์ซึ่งเป็นการแสดงเก่าแก่ของญี่ปุ่นค่ะ ใครอยากมาเที่ยวชมศาลเจ้าอิสึคุชิมะสามารถมาได้ในเวลา 6:30 – 18:00 ค่ะ
⇒ การเดินทางมาศาลเจ้าอิสึคุชิมะ (Itsukushima Shrine)
- นั่งรถไฟ JR จากสถานี Hiroshima มาลงที่สถานี Miyajimaguchi แล้วต่อเรือ JR Miyajima Ferry ข้ามมายังเกาะมิยาจิม่า (Miyajima) แล้วเดินต่อไปยังศาลเจ้าอีกประมาณ 15 นาที
หมายเหตุ
- เสาโทริอิกลางน้ำจะมีการซ่อมบำรุงครั้งใหญ่ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ค.ศ. 2019 ถึง ประมาณเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2020 โดยจะมีการติดตั้งนั่งร้านและคลุมผ้าใบที่เสา
ศาลเจ้าดาไซฟุ เท็นมังงู (Dazaifu Tenmangu)
— จังหวัดฟุกุโอกะ (Fukuoka)
( แผนที่)
ศาลเจ้าดาไซฟุ เท็นมังกู (Dazaifu Tenmangu) เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดฟุกุโอกะ (Fukuoka) ขึ้นชื่อด้านการขอพรด้านการเรียน เพราะแต่เดิมศาลเจ้าสร้างขึ้นเพื่อสักการะบูชา สุกาวาระ โนะ มิจิซาเนะมิจิซาเนะ ซึ่งเป็นนักปราชญ์แห่งยุคเฮอัน จึงถือเป็นเทพแห่งการศึกษาเลยทีเดียวค่ะ
ในฤดูใบไม้ผลิช่วงกุมภาพันธ์ถึงกลางมีนาคมนั้นมีต้นบ๊วยกว่า 6,000 ต้นที่จะออกดอกบานสะพรั่ง ทำให้มีผู้คนมาชมดอกบ๊วยบานและบรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคักค่ะ นอกจากความสวยงามแล้ว ส่วนที่เป็นไฮไลท์ของศาลเจ้ายังมีอีกมากมาย เช่น รูปปั้นวัวที่มีอยู่ถึง 10 ตัวในศาลเจ้า สระน้ำชินจิอิเคะที่มีสะพาน 3 สะพานพาดผ่านไปสู่ศาลเจ้า แต่ละสะพานแสดงถึงอดีต ปัจจุบัน และอนาคต หากได้ข้ามสะพานเหล่านี้ก็เหมือนได้ชำระล้างร่างกายและจิตใจให้สะอาดค่ะ สุดท้ายคือโรมงหรือประตูสีแดงค่ะ ใครสนใจอยากเยี่ยมชม ศาลเจ้าดาไซฟุ เท็นมังกู เปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 6:00 – 19:00 น. ค่ะ
⇒ การเดินทางมาศาลเจ้าดาไซฟุ เท็นมังงู (Dazaifu Tenmangu)
- นั่งรถไฟ Nishitetsu-Dazaifu Line มาลงสถานี Dazaifu แล้วเดินประมาณ 5 นาที
ส่งท้าย
ครบไปแล้วกับ 15 ศาลเจ้าญี่ปุ่นที่นักท่องเที่ยวนิยมไปกัน จะเห็นได้ว่าศาลเจ้าแต่ละแห่งก็จะมีเทพเจ้าที่แตกต่างกันไปตามตำนานและความเชื่อ แถมบางแห่งยังสวยงามเสียจนอยากถ่ายรูปสวยๆ เก็บไว้หลายรูป ถ้ามีโอกาสได้ไปญี่ปุ่นก็อยากให้ลองแวะศาลเจ้าเหล่านี้และเข้าไปสักการะบูชาดูสักครั้งค่ะ ไม่แน่พรที่ขออาจสมหวังก็ได้นะคะ และสำหรับใครที่อยากเข้าวัดเข้าวาไปไหว้พระ ก็สามารถอ่านต่อได้ที่บทความนี้นะคะ ⇒ 15 วัดญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวและต้องมา Check-in!
สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำในญี่ปุ่น
- สถานที่ท่องเที่ยวแลนด์มาร์คในญี่ปุ่นสำหรับ Check-in!
- วัดญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวและต้องมา Check-in!
- ศาลเจ้าญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวและต้องมา Check-in!
- ปราสาทญี่ปุ่นสวยๆ จากทั่วประเทศญี่ปุ่นที่ต้องมา Check-in!
- สวนสนุกในญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมและต้องมา Check-in!
- กระเช้าลอยฟ้าสำหรับชมวิวสวยๆ ในญี่ปุ่นที่ต้องมา Check-in!
- หอคอยและจุดชมวิวบนอาคารสูงในญี่ปุ่นที่ต้องมา Check-in!
- สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาวที่ต้องมา Check-in!
- แหล่งออนเซ็นยอดนิยมในญี่ปุ่น พร้อมวิธีการแช่ออนเซ็นที่ถูกต้อง
แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในญี่ปุ่น
- สถานที่ท่องเที่ยวในโตเกียว (Tokyo) ที่ต้องมา Check-in!
- สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองซัปโปโร (Sapporo) ที่ต้องมา Check-in!
- สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองโอซาก้า (Osaka) ที่ต้องมา Check-in!
- สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองเกียวโต (Kyoto) ที่ต้องมา Check-in!
- สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองนาโกย่า (Nagoya) ที่ต้องมา Check-in!
- สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองฟุกุโอกะ (Fukuoka) ที่ต้องมา Check-in!