วัดในญี่ปุ่นนั้นถือได้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ควรไปเยี่ยมชมเลยนะคะ ซึ่งในแต่ละเมืองก็จะมีวัดชื่อดังให้สามารถไปแวะสักการะกันได้ นอกจากจะได้ไหว้พระและทำบุญแล้ว รอบ ๆ วัดที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนเป็นจำนวนมาก ก็มักจะมีร้านค้าจำหน่ายของที่ระลึก ร้านอาหารและขนมอร่อย ๆ ให้ได้ลิ้มลองกันอีกด้วย เรียกว่าได้มาเที่ยววัด อิ่มทั้งกายและใจเลยค่ะ
15 วัดญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว
วัดเซ็นโซจิ (Senso-ji Temple)
— โตเกียว (Tokyo)
( แผนที่)
“วัดเซ็นโซจิ (Senso-ji Temple)” หรือ “วัดอาซากุสะคันนง (Asakusa Kannon Temple)” เป็นวัดญี่ปุ่นชื่อดังที่ตั้งอยู่ในย่านอาซากุสะ (Asakusa) ของกรุงโตเกียว (Tokyo) วัดแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อประมาณปี ค.ศ. 628 เพื่อบูชาองค์พระโพธิสัตว์กวนอิม ถือเป็นวัดที่มีความเก่าแก่ที่สุดในกรุงโตเกียวเลยค่ะ เอกลักษณ์ของวัดเซ็นโซจิก็คือโคมไฟสีแดงขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงประตูทางเข้าวัดซึ่งเรียกว่า “คามินาริมง (Kaminarimon)” (บางครั้งจึงเรียกกันว่า “วัดโคมแดง”) ตรงนี้เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปด้วยอย่างแน่นขนัดเลยค่ะ
เมื่อเดินผ่านประตู “คามินาริมง (Kaminarimon)” มาแล้วก็จะเจอกับถนน “นากามิเสะ (Nakamise)” ซึ่งมีร้านค้าเรียงรายยาวกว่า 200 เมตรให้ละลายทรัพย์ก่อนที่จะถึงตัววัดค่ะ ถ้าได้มาเที่ยวที่นี่แนะนำให้ลองซื้อขนมญี่ปุ่นทานดูนะคะ มีให้เลือกหลายอย่างเลย และอีกกิจกรรมที่นิยมของนักท่องเที่ยวก็คือการเช่าชุดกิโมโนมาใส่เดินถ่ายรูปสวย ๆ ที่วัดค่ะ ตัวบริเวณวัดเซ็นโซจิเปิดให้เข้าได้ตลอด แต่สำหรับอาคารหลักจะเปิด ตั้งแต่ 6:00 – 17:00 น. (ช่วงตุลาคม – มีนาคม เปิด 6:30 น.) ส่วนร้านค้าตรงถนนนากามิเสะจะเปิดประมาณ 9:00-19:00 น. นะคะ
⇒ การเดินทางมาวัดเซ็นโซจิ (Senso-ji Temple)
- นั่งรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย Ginza หรือ Toei สาย Asakusa มาลงที่สถานี Asakusa
- นั่งรถไฟสาย Tobu SKYTREE มาลงที่สถานี Tobu Asakusa
วัดคิโยมิสึเดระ (Kiyomizu-dera Temple)
— จังหวัดเกียวโต (Kyoto)
( แผนที่)
“วัดคิโยมิสึเดระ (Kiyomizu-dera Temple)” หรือที่เรียกกันติดปากว่า “วัดน้ำใส” โดยมาจากคำว่า “Kiyomizu“ ที่แปลว่า “น้ำบริสุทธิ์” รวมถึง “น้ำตกโอโตวะ (Otowa Waterfall)“ น้ำตก 3 สายที่มีความใสสะอาดซึ่งอยู่ภายในวัด เชื่อกันว่าถ้าได้ดื่มน้ำจากน้ำตกนี้จะสมปรารถนาในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การศึกษา ความรัก และสุขภาพ ใครที่สนใจเรื่องไหนเป็นพิเศษก็สามารถเลือกดื่มได้ค่ะ
วัดคิโยมิสึนั้นมีความเก่าแก่นับพันปี ได้ขึ้นทะเบียนเป็นหนึ่งในมรดกโลกของ UNESCO ร่วมกับสถานที่สำคัญอื่น ๆ ในเกียวโต (Kyoto) ซึ่งอยู่ในภูมิภาคคันไซ (Kansai) และเป็นวัดชื่อดังมาก ๆ ของญี่ปุ่นที่ต้องแวะมาชมเลยค่ะ ทิวทัศน์ของวัดจะยิ่งงดงามมากขึ้นไปอีกในช่วงที่ซากุระบานและช่วงใบไม้เปลี่ยนสี โดยวัดเปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่ 6:00 – 18:00 น. (บางวันเปิดถึง 18:30 น.) นอกจากนี้ยังมีบางช่วงที่เปิดให้เข้าชมการประดับไฟตอนกลางคืนจนถึง 21:00 น. ด้วยนะคะ
ทั้งนี้ อาคารหลักของวัดได้มีการปิดปรับปรุงครั้งใหญ่ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2017 จนถึงปี ค.ศ. 2020 จึงไม่สามารถเข้าไปชมภายในอาคารได้ แต่สามารถเดินเที่ยวบริเวณรอบ ๆ วัดได้ตามปกตินะคะ ซึ่งมีสิ่งก่อสร้างที่สวยงามอื่น ๆ และร้านค้าสไตล์ญี่ปุ่นโบราณ ที่นี่จึงเป็นอีกแห่งที่นักท่องเที่ยวนิยมเช่าชุดกิโมโนมาเดินถ่ายรูปค่ะ
⇒ การเดินทางมาวัดคิโยมิสึเดระ (Kiyomizu-dera Temple)
- นั่งรถบัสสาย 86, 100, 106, 110, 206 จากสถานี Kyoto มาลงที่ป้าย Kiyomizu-michi และเดินอีกประมาณ 10 นาที
- นั่งรถไฟสาย JR Nara Line จากสถานี Kyoto มาลงที่สถานี Tofukuji แล้วเปลี่ยนเป็นสาย Keihan Main Line มาลงที่สถานี Kiyomizu-Gojo และเดินอีกประมาณ 20 นาที
วัดคินคะคุจิ (Kinkaku-ji Temple)
— จังหวัดเกียวโต (Kyoto)
( แผนที่)
“วัดคินคะคุจิ (Kinkaku-ji Temple)” เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของเมืองเกียวโต (Kyoto) อีกแห่งที่ห้ามพลาดเลยค่ะ วัดนี้มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “วัดโระคุองจิ (Rokuon-ji)” ส่วนคนไทยนิยมเรียกว่า “วัดทอง” ตามคำภาษาญี่ปุ่น “Kin“ ซึ่งแปลว่าทอง และเรียกตามศาลาสีทองซึ่งเป็นจุดเด่นของวัดนี้ค่ะ
วัดทองคินคะคุจิได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเช่นเดียวกับ “วัดคิโยมิสึเดระ (Kiyomizu-dera Temple)” ช่วงที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากเป็นพิเศษก็เป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วง ประมาณปลายเดือนพฤศจิกายนค่ะ ซึ่งเราจะได้เห็นศาลาของวัดที่ปิดด้วยแผ่นทองคำบริสุทธิ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางน้ำ โดยมีฉากหลังเป็นสวนหลากสีสันในช่วงที่ใบไม้กำลังเปลี่ยนสี เป็นภาพที่สวยงามเป็นอย่างมากค่ะ วัดแห่งนี้เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ทุกวันตั้งแต่เวลา 9:00 – 17:00 น. นะคะ
⇒ การเดินทางมาวัดคินคะคุจิ (Kinkaku-ji Temple)
- นั่งรถบัสสาย 101 หรือ 205 จากสถานี Kyoto มาลงที่ป้าย Kinkakuji-michi
วัดกินคะคุจิ (Ginkaku-ji Temple)
— จังหวัดเกียวโต (Kyoto)
( แผนที่)
เมื่อมีวัดทองแล้วก็ต้องมี “วัดเงิน” หรือชื่อเต็ม ๆ ว่า “วัดกินคะคุจิ (Ginkaku-ji Temple)“ นั่นเองค่ะ สำหรับชื่ออย่างเป็นทางการของวัดแห่งนี้ก็คือ “วัดจิโชจิ (Jisho-ji Temple)” เป็นวัดนิกายเซนที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองเกียวโต (Kyoto) ที่นี่ก็ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเช่นเดียวกันค่ะ
คำว่า “Gin” ก็แปลว่า “เงิน” แต่ว่าศาลาของวัดนี้ไม่ได้เป็นสีเดียวกับชื่อวัดเหมือนอย่างวัดทอง “คินคะคุจิ (Kinkaku-ji Temple)” นะคะ แต่เป็นศาลาไม้สีน้ำตาลที่สื่อถึงความเรียบง่าย อีกทั้งยังรายล้อมด้วยสวนสไตล์ญี่ปุ่น ที่ประกอบด้วยบ่อน้ำและผืนทรายสีขาว ให้บรรยากาศสงบเงียบ ถือเป็นหนึ่งในจุดชมใบไม้เปลี่ยนสียอดนิยมอีกแห่งในเมืองเกียวโตค่ะ เวลาเข้าชมของวัดคือ 8:30 – 17:00 น. ส่วนช่วงเดือนธันวาคม – กุมภาพันธ์ เปิดตั้งแต่ 9:00 – 16:30 น.ค่ะ
⇒ การเดินทางมาวัดกินคะคุจิ (Ginkaku-ji Temple)
- นั่งรถบัสสาย 5 หรือ 17 จากสถานี Kyoto มาลงที่ป้าย Ginkakuji-michi หรือ นั่งสาย 100 จากสถานี Kyoto มาลงที่ป้าย Ginkakuji-mae
วัดเบียวโดอิน (Byodo-in Temple)
— จังหวัดเกียวโต (Kyoto)
( แผนที่)
“วัดเบียวโดอิน (Byodo-in Temple)” ตั้งอยู่ในเมืองอุจิ (Uji) ซึ่งเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องชาเขียวของจังหวัดเกียวโต (Kyoto) วัดนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 988 มีสัญลักษณ์ที่สำคัญคือ “หอนกฟินิกซ์ (Hoodo)” ซึ่งเป็นอาคารหลักที่ตั้งอยู่บริเวณกลางวัดและมีระเบียงอาคารยื่นออกทั้งสองข้างทั้งซ้ายและขวาเหมือนกับปีกนก เมื่ออาคารสะท้อนกับผืนน้ำก็ดูงดงามราวกับนกฟินิกซ์ที่กำลังกางปีกบินขึ้นสู่ท้องฟ้าค่ะ
วัดเบียวโดอินแห่งนี้ยังได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกับวัดอื่น ๆ ในเกียวโต และยังเป็นภาพที่อยู่บนเหรียญ 10 เยนของญี่ปุ่นอีกด้วยค่ะ ใครที่ได้มาเยี่ยมชมที่นี่ก็ห้ามพลาดที่จะถ่ายรูปศาลาวัดคู่กับเหรียญดูนะคะ สำหรับทีวัดแห่งนี้เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8:30 – 17:30 น. ค่ะ
⇒ การเดินทางมาวัดเบียวโดอิน (Byodo-in Temple)
- นั่งรถไฟสาย JR Nara Line จากสถานี Kyoto มาลงที่สถานี Uji แล้วเดินประมาณ 10 นาที
วัดชิเทนโนจิ (Shitenno-ji Temple)
— จังหวัดโอซาก้า (Osaka)
( แผนที่)
“วัดชิเทนโนจิ (Shitenno-ji Temple)” เป็นวัดทางพระพุทธศาสนาอย่างเป็นทางการแห่งแรกของประเทศญี่ปุ่น ดังนั้นจึงเป็นวัดที่เก่าแก่มากที่สุดอีกด้วย โดยเจ้าชายโชโตคุ (Prince Shotoku) ที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาทรงสร้างวัดชิเทนโนจิขึ้นเมื่อ ค.ศ. 593 จากความประสงค์ที่จะสร้างวัดเพื่อประดิษฐานพระโพธิสัตว์ 4 องค์ เพื่อขอพรให้ชนะสงครามและนำพระพุทธศาสนาเผยแพร่ในประเทศญี่ปุ่นนั่นเองค่ะ
แม้ว่าวัดจะมีอายุกว่า 1,400 ปีแล้ว แต่ก็ยังมีสภาพใหม่และงดงามเพราะได้รับการบูรณะอยู่เสมอ ภายในอาณาเขตมหาวิหารชั้นในของวัดนั้นประกอบไปด้วยเจดีย์ห้าชั้นแบบญี่ปุ่น วิหารทองคำที่ประดิษฐานรูปเคารพของพระโพธิสัตว์เนียวไร (Nyorai Kannon) และหอธรรม บริเวณนี้สามารถเข้าชมได้ฟรี ส่วนบริเวณชั้นในของวัด อย่างสวนโกคุราคุ-โจโด (Gokuraku-Jodo garden) ที่เป็นสวนสไตล์ญี่ปุ่น และห้องเก็บสมบัติที่แสดงภาพวาดพระคัมภีร์และทรัพย์สินมีค่าอื่น ๆ ของวัดจะต้องเสียค่าเข้าชมค่ะ
วัดชิเทนโนจิ เปิดให้เข้าทุกวัน เดือนเมษายน – กันยายน ตั้งแต่เวลา 8:30 – 16:30 น. และเดือนตุลาคม – มีนาคม ตั้งแต่ 8:30 – 16:00 น. ทั้งนี้ไฮไลท์ของวัดชิเทนโนจิคือวันที่ 22 เมษายนของทุกปี เนื่องจากเป็นวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายโชโตคุ จึงมีการจัดเทศกาล Shoryo-e Bugaku Daihoyo ขึ้น ในงานมีพิธีสงฆ์พร้อมกับการร่ายรำกากะคุ (Gagaku) ซึ่งเป็นการร่ายรำโบราณที่เป็นการแสดงชั้นสูงในราชสำนัก และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่นอีกด้วยค่ะ
⇒ การเดินทางมาวัดชิเทนโนจิ (Shitenno-ji Temple)
- นั่งรถไฟใต้ดินสาย Tanimachi Line มาลงที่สถานี Shitennoji-mae-Yuhigaoka แล้วเดินประมาณ 5 นาที
วัดโทไดจิ (Todai-ji Temple)
— จังหวัดนารา (Nara)
( แผนที่)
“วัดโทไดจิ (Todai-ji Temple)” เป็นวัดชื่อดังของจังหวัดนารา (Nara) ซึ่งอยู่ติดกับจังหวัดเกียวโต (Kyoto) ตัววัดสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 752 และได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกับสถานที่อื่น ๆ ในเมืองนารา ภายใน “ศาลาใหญ่ของวัด (Daibutsuden)” เป็นที่ประดิษฐาน “องค์หลวงพ่อโต (Daibutsu)” ซึ่งมีความสูง 15 เมตร ถือได้ว่าเป็นพระพุทธรูปสำริดที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น และศาลานี้ก็ยังเป็นอาคารไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วยค่ะ
วัดโทไดจิเปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 7:30 – 17:30 น. ในเดือนเมษายน – ตุลาคม และตั้งแต่เวลา 8:00 – 17:00 น. ในเดือนพฤศจิกายน – มีนาคม นอกจากนี้ ระหว่างทางเดินมาที่วัดยังมีร้านขายของที่ระลึก รวมถึงฝูงกวางที่อยู่ในสวน เราสามารถซื้อเซ็มเบ้ให้อาหารกวางได้ค่ะ แต่ต้องระวังนิดนึง เพราะอาจโดนกวางงับมือเอาได้นะคะ
⇒ การเดินทางมาวัดโทไดจิ (Todai-ji Temple)
- นั่งรถไฟสาย JR Nara Line มาลงที่สถานี JR Nara แล้วเดินประมาณ 45 นาที หรือนั่งรถบัสจากสถานีมาลงที่ป้าย Daibutsuden Kasuga Taisha-mae
- นั่งรถไฟสาย Kintetsu-Nara Line มาลงที่สถานี Kintetsu Nara แล้วเดินประมาณ 30 นาที หรือนั่งรถบัสจากสถานีมาลงที่ป้าย Daibutsuden Kasuga Taisha-mae
วัดโฮริวจิ (Horyu-ji Temple)
— จังหวัดนารา (Nara)
( แผนที่)
“วัดโฮริวจิ (Horyu-ji Temple)” เป็นอีกวัดที่ก่อตั้งขึ้นโดยเจ้าชายโชโตคุ (Prince Shotoku) เมื่อ ค.ศ. 607 จึงเป็นหนึ่งในวัดที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น ตั้งอยู่ที่เมืองอิคารุกะ (Ikaruga) จังหวัดนารา (Nara) วัดโฮริวจิยังเป็นวัดอีกแห่งที่ UNESCO บันทึกขึ้นเป็นมรดกโลกภายใต้นาม “อนุสรสถานทางพระพุทธศาสนาแห่งวัดโฮริวจิ” เมื่อ ค.ศ. 1993 ด้วยค่ะ
ภายในวัดแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ไซอิน การัง (Saiin Garan) หรือบริเวณด้านตะวันตกของวัด เป็นที่ตั้งของวัดไม้ที่เก่าแก่ที่สุด รวมถึงประตูกลาง และพระเจดีย์ห้าชั้น โทอินกะรัง (Toingaran) หรือบริเวณด้านตะวันออก มีจุดสนใจคือ ยูเมะโดโนะ (Yumedono) หรือหอนิมิต นอกจากนี้ยังมีตัวอาคารใหม่คือ ไดโบโซอิน (Daibozo-in) ให้เข้าชมงานศิลปะของวัด เช่น พระพุทธรูปต่างๆ อย่าง พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร หรือที่เรียกว่า คุดะระ คันนอน (Kudara Kannon) พระพุทธรูปจิโซ โบซัตสึ (Jizo Bosatsu) และทะมะมุชิ โนะ ซุชิ (Tamamushi-no-zushi)
วัดโฮริวจิ เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 8:00 น. – 17:00 น. หากเป็นช่วงเดือนเดือนพฤศจิกายน – กุมภาพันธ์ จะปิดเวลา 16:30 น. ค่ะ โดยวัดโฮริวจิมีความพิเศษตรงที่อนุญาตให้ผู้ใช้เก้าอี้รถเข็นสามารถเข้าเยี่ยมชมวัดได้ จึงเหมาะสำหรับพาผู้สูงอายุหรือคนที่ไม่สะดวกในการเดินมาเที่ยวชม นอกจากนี้ยังมีแผ่นพับให้ข้อมูลของวัดเป็นภาษาต่างประเทศถึงหลายภาษาทีเดียวค่ะ
⇒ การเดินทางมาวัดโฮริวจิ (Horyu-ji Temple)
- นั่งรถไฟสาย JR Yamatoji Rapid จากสถานี Nara มาลงที่สถานี Horyuji แล้วต่อรถบัสสาย 72 มาลงที่ป้าย Horyujimon-mae
วัดเซงันโตจิ (Seiganto-ji Temple)
— จังหวัดวาคายามะ (Wakayama)
( แผนที่)
“วัดเซงันโตจิ (Seiganto-ji Temple)” หรืออีกชื่อหนึ่งว่า วัดคลื่นวารีสีคราม ตั้งอยู่ที่เมืองคุมาโนะ (Kumano) ในจังหวัดวาคายามะ (Wakayama) รายล้อมด้วยน้ำตกนาจิ (ฺNachi Falls) ป่าดงดิบและมหาสมุทรแปซิฟิก จึงเป็นวัดที่ตั้งอยู่ในสถานที่ที่ทิวทัศน์งดงามตระการตามาก ก่อตั้งโดยพระภิกษุชาวอินเดียที่มักฝึกตนในน้ำตกนาจิบริเวณหลังวัด นามว่า ราเงียว โชนิง (Ragyo Shonin)
ด้วยความที่เมืองคุมาโนะ เป็นเมืองที่ได้ชื่อว่าดินแดนแห่งเทพเจ้า มีเส้นทางแสวงบุญและศาลเจ้าหลายแห่ง วัดเซงันโตจิเองก็ถือเป็นหนึ่งในมรดกโลก UNESCO แหล่งศักดิ์สิทธิ์และเส้นทางแสวงบุญในทิวเขาคิอิเช่นกัน โดยเปิดเข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 5:00 น. – 16:30 ค่ะ
⇒ การเดินทางมาวัดเซงันโตจิ (Seiganto-ji Temple)
- นั่งรถบัส จากสถานี Kii-Katsuura มาลงที่ป้าย Jinja Otera-mae
วัดนาริตะซัน ชินโชจิ (Naritasan Shinsho-ji Temple)
— จังหวัดชิบะ (Chiba)
( แผนที่)
“วัดนาริตะซัน ชินโชจิ (Naritasan Shinsho-ji Temple)” สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 940 เป็นวัดพุทธชื่อดังของเมืองนาริตะ (Narita) ในจังหวัดชิบะ (Chiba) ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับสนามบินนาริตะ (Narita International Airport) นี่เอง ถ้ามีเวลาก่อนขึ้นเครื่องกลับไทย หรือก่อนเดินทางเข้าโตเกียวก็สามารถมาแวะไหว้พระขอพรกันได้นะคะ วัดนี้เปิดให้เข้าชมได้ทั้งวันค่ะ
นอกจากนี้ วัดนาริตะซันก็ยังได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวชาวไทย เนื่องจากเป็นหนึ่งในโลเคชั่นถ่ายทำละครเรื่อง “The Rising Sun” และภาพยนตร์ไทยเรื่อง “ฟัดจังโตะ” และสำหรับคนชอบทานข้าวหน้าปลาไหล ตรง “ถนนนาริตะซัน โอโมเตะซันโด (Naritasan Omotesando)” ซึ่งเป็นถนนสายช้อปปิ้งจากสถานี Narita มายังวัด ก็ยังมีร้านอาหารข้าวหน้าปลาไหลชื่อดัง รวมทั้งร้านค้าให้เลือกจับจ่ายใช้สอยกันอีกด้วยค่ะ
⇒ การเดินทางมาวัดนาริตะซัน ชินโชจิ (Naritasan Shinsho-ji Temple)
- นั่งรถไฟสาย JR Sobu/Narita Line Rapid มาลงที่สถานี JR Narita แล้วเดินประมาณ 10 นาที
- นั่งรถไฟสาย Keisei Main Line มาลงที่สถานี Keisei-Narita แล้วเดินประมาณ 10 นาที
วัดโคโตคุอิน (Kotoku-in Temple)
— จังหวัดคานากาว่า (Kanagawa)
( แผนที่)
“วัดโคโตคุอิน (Kotoku-in Temple)” หรือที่นักท่องเที่ยวชาวไทยนิยมเรียกว่า “วัดพระใหญ่” ตั้งอยู่ในเมืองคามากุระ (Kamakura) ของจังหวัดคานากาว่า (Kanagawa) เป็นวัดที่ประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่ “ไดบุตสึ (Daibutsu / Great Buddha of Kamakura)” ซึ่งมีความสูงกว่า 11 เมตร และเป็นพระพุทธรูปสำริดที่มีความสูงเป็นอันที่ 2 ของประเทศญี่ปุ่น รองจากพระพุทธรูปที่ “วัดโทไดจิ (Todai–ji Temple)” ในเมืองนารา (Nara) ค่ะ
พระใหญ่ไดบุตสึนั้นเดิมมีสีดำ แต่ที่เห็นเป็นสีเขียวนั้นเกิดจากปฏิกิริยาออกไซด์ของโลหะ นอกจากนี้แล้วภายในองค์พระยังมีลักษณะโปร่ง ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมด้านในองค์พระได้ สำหรับเวลาทำการของวัดนั้นเปิดตั้งแต่ 8:00 – 17:30 น. ในช่วงเดือนเมษายน – กันยายน และ 8:00 – 17:00 น. ในช่วงเดือนตุลาคม – มีนาคม
⇒ การเดินทางมาวัดโคโตคุอิน (Kotoku-in Temple)
- นั่งรถไฟสาย JR Yokosuka Line จากสถานี Tokyo มาลงที่สถานี Kamakura แล้วเดินประมาณ 15 นาที หรือต่อรถไฟสาย Enoden จากสถานี Kamakura มาลงที่สถานี Hase แล้วเดินประมาณ 5 นาที
วัดรินโนจิ (Rinno-ji Temple)
— จังหวัดโทจิงิ (Tochigi)
( แผนที่)
“วัดรินโนจิ (Rinnoji Temple)” เป็นวัดสำคัญและเก่าแก่ของเมืองนิกโก้ (Nikko) จังหวัดโทจิงิ (Tochigi) เป็นอีกวัดที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO ในวัดมีศาลาหลังใหญ่ หรือ ซันบุตสึ (Sanbutsudo) เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปไม้แกะสลัก ปิดทองสูงสามเมตร 3 องค์ คือเจ้าแม่กวนอิมพันกร พระอมิตพุทธ และพระพุทธรูปม้าอยู่กลางพระนลาต ซึ่งชาวพุทธเมืองนิโกนิยมมาสักการะบูชากันค่ะ
สิ่งที่โดดเด่นของวัดรินโนจิ คือ สวนญี่ปุ่นโชโยเอ็น (Shoyo-en) ซึ่งอยู่ตรงข้ามซันบุตสึ โดยเป็นสวนดั้งเดิมตั้งแต่สมัยญี่ปุ่น เป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงสำหรับการชมใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง เพราะเต็มไปด้วยต้นเมเปิ้ล ซึ่งจะมีสีสดเต็มที่กลางเดือนพฤศจิกายน
ปัจจุบันซันบุตสึอยู่ระหว่างการบูรณะครั้งใหญ่ คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณ ค.ศ. 2019 แต่ยังเปิดให้เข้าชมและสักการะบูชาพระพุทธรูปที่ย้ายมาประดิษฐานในอาคารชั่วคราว วัดรินโนจิเปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่ 8:00 – 17:00 น. โดยเดือนพฤศจิกายน – มีนาคมจะปิดเข้าชมในเวลา 16:00 น. ค่ะ
⇒ การเดินทางมาวัดรินโนจิ (Rinnoji Temple)
- นั่งรถบัสมาจากสถานี Tobu หรือ JR Nikko มาลงที่ป้าย Shodo Shonin Zo Mae
วัดนิตไตจิ (Nittai-ji Temple)
— จังหวัดไอจิ (Achi)
( แผนที่)
“วัดนิตไตจิ (Nittai-ji Temple)” เป็นวัดญี่ปุ่น-ไทย ที่สำคัญคือเป็นวัดแรกและวัดเดียวที่รวมทุกนิกายของญี่ปุ่นไว้ ตั้งอยู่ที่เมืองนาโกย่า (Nagoya) ในจังหวัดไอจิ (Aichi) ประวัติความเป็นมาเริ่มจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระราชทานพระบรมสารีริกธาตุและพระพุทธรูปนามว่า พระพุทธศากยมุนี ให้เป็นมิ่งขวัญชาวพุทธในญี่ปุ่น จึงมีการสร้างวัดขึ้นเพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตและพระพุทศากยมุนีขึ้นที่เมืองนาโกย่าเมื่อ ค.ศ. 1904 ก็คือ วัดนิตไตจินั่นเองค่ะ
ภายในอุโบสถของวัด นอกจากมีพระศากยมุนีประดิษฐานอยู่ ยังมีพระบรมราชานุสาวรีย์ของรัชกาลที่ 5 ตั้งอยู่ด้วย ซึ่งเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์เสด็จมานมัสการพระบรมสารีริกธาตุ จึงได้ปลูกต้นโพธิ์ไว้ทางซ้ายและขวาของพระบรมราชานุสาวรีย์ค่ะ ทั้งนี้มีระฆังยักษ์สลักอักษรพระปรมาภิไธยย่อของรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 9 อีกด้วย
วัดนิตไตจิเปิดให้เข้าชมฟรีทุกวัน ตั้งแต่เช้าตรู่ 5.00 น. – 16.30 น. และในวันที่ 21 ของทุกเดือนจะมีงานถนนคนเดินบริเวณถนนทางเข้าวัด นอกจากนี้ในวันที่ 23 ตุลาคม มีการจัดงานวันปิยมหาราชเช่นเดียวกับที่ไทยด้วยค่ะ
⇒ การเดินทางมาวัดนิตไตจิ (Nittai-ji Temple)
- นั่งรถไฟใต้ดินสาย Higashiyama Line จากสถานี Nagoya มาลงสถานี Kakuozan แล้วเดินประมาณ 5 – 10 นาที
วัดยามาเดระ (Yama-dera Temple)
— จังหวัดยามากาตะ (Yamagata)
( แผนที่)
“วัดยามาเดระ (Yama-dera Temple)” สร้างขึ้นในไป ค.ศ. 860 เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนเขาในจังหวัดยามากาตะ (Yamagata) ของภูมิภาคโทโฮคุ (Tohoku) และชื่อวัด “Yama-dera“ ก็แปลตรง ๆ ได้ว่า “วัดภูเขา” เลยค่ะ สำหรับชื่ออย่างเป็นทางการของวัดก็คือ “วัดริชชะกุจิ (Risshaku-ji Temple)” แต่คนทั่วไปจะรู้จักชื่อ “วัดยามาเดระ (Yama-dera Temple)” มากกว่าค่ะ
อาคารต่าง ๆ ของวัดยามาเดระนั้นตั้งอยู่ตามเส้นทางขึ้นเขา โดยเปิดให้เข้าชมวัดตั้งแต่ 7:00 – 18:00 น. ซึ่งถ้าขึ้นไปถึงด้านบนเขา ก็ต้องเดินขึ้นบันไดไปประมาณ 1,000 ขั้นค่ะ ไม่มีกระเช้าพาขึ้นไป งานนี้ต้องพึ่งพลังขาล้วน ๆ นะคะ แต่รับรองว่าวิวสวยแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูใบไม้ร่วงตอนเดือนพฤศจิกายน ที่ต้นไม้บนภูเขาต่างเปลี่ยนเป็นสีเหลืองส้ม ช่วยเพิ่มความงดงามให้กับวัดอายุนับพันปีแห่งนี้ได้เป็นอย่างดีค่ะ
⇒ การเดินทางมาวัดยามาเดระ (Yama-dera Temple)
- นั่งรถไฟสาย Zensan Line จากสถานี Yamagata หรือ สถานี Sendai มาลงที่สถานี Yamadera
วัดชูซนจิ (Chuson-ji Temple)
— จังหวัดอิวาเตะ (Iwate)
( แผนที่)
“วัดชูซนจิ (Chuson-ji Temple)” เป็นวัดพุทธชื่อดังของนิกายเท็นไดซึ่งตั้งอยู่ ณ เมืองฮิไรซูมิ (Hiraizumi) ในจังหวัดอิวาเตะ (Iwate) ของภูมิภาคโทโฮคุ (Tohoku) ตัววัดสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 850 และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นหนึ่งในมรดกโลกของ UNESCO ในปี ค.ศ. 2011 ภายในวัดเคยประกอบด้วยอาคารสิ่งก่อสร้างมากกว่า 40 แห่ง แต่ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้เผาทำลายสิ่งก่อสร้างไปเกือบหมด
หนึ่งในสิ่งก่อสร้างเก่าแก่ที่ยังหลงเหลืออยู่อย่างสมบูรณ์นั่นคือ ” วิหารทองคำคนจิคิโด (Konjikido)” ซึ่งได้รับเลือกเป็นสมบัติล้ำค่าของญี่ปุ่นเป็นชิ้นแรก (ปัจจุบันมีการสร้างอาคารขึ้นมาเพื่อป้องกันวิหารอีกชั้นและห้ามถ่ายรูปด้านใน) นอกจากนั้นแล้วในวัดยังประกอบด้วย “พิพิธภัณฑ์ซังโกะโสะ (Sankozo Museum)” ที่เก็บรวบรวมสมบัติล้ำค่าต่าง ๆ กว่า 3,000 ชิ้นที่เหลือรอดมา สำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากมาชมความงามของวัดชูซนจิ ทางวัดเปิดให้เข้าชมตั้งแต่ 8:30 – 17:00 น. ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม – 3 พฤศจิกายน และตั้งแต่ 8:30 – 16:30 น. ระหว่างวันที่ 4 พฤศจิกายน – สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ค่ะ
⇒ การเดินทางมาวัดชูซนจิ (Chuson-ji Temple)
- นั่งรถไฟสาย JR Tohoku Main Line จากสถานี Ichinoseki มาลงที่สถานี Hiraizumi และต่อรถบัส Hiraizumi Loop Bus
ส่งท้าย
15 วัดในญี่ปุ่นที่ยกมานี้ขอบอกเลยว่าเป็นวัดที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวและต้องหาโอกาสไปเยือนให้ได้สักครั้งถ้าได้มาเที่ยวญี่ปุ่น นอกจากนี้แล้วอาจมีหลายคนที่สงสัยว่าวัดกับศาลเจ้าญี่ปุ่นนั้นแตกต่างกันอย่างไร วิธีการสังเกตอย่างแรกเลยก็คือให้ดูที่ชื่อค่ะ วัดในญี่ปุ่นมักลงท้ายด้วย -tera, -dera, หรือ -ji (ตัวหนังสือญี่ปุ่น : 寺) หรือ -in (ตัวหนังสือญี่ปุ่น : 院) และภายในวัดก็จะมีกระถางธูปใหญ่ ๆ ตั้งอยู่ ซึ่งจะมีผู้คนมายืนโบกควันธูปเข้าตัวตามความเชื่อที่ว่าจะนำมาซึ่งความโชคดีและช่วยรักษาอาการเจ็บป่วยได้ ใครที่ไปเที่ยววัดในญี่ปุ่นก็ลองทำตามดูได้ค่ะ
สำหรับใครที่อยากไปสักการะและขอพรที่ศาลเจ้าในญี่ปุ่น ก็สามารถอ่านต่อได้ที่บทความนี้นะคะ ⇒ 15 ศาลเจ้าญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวและต้องมา Check-in!
Publish: 27 December 2020
Edit: 19 November 2021
สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำในญี่ปุ่น
- สถานที่ท่องเที่ยวแลนด์มาร์คในญี่ปุ่นสำหรับ Check-in!
- วัดญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวและต้องมา Check-in!
- ศาลเจ้าญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวและต้องมา Check-in!
- ปราสาทญี่ปุ่นสวยๆ จากทั่วประเทศญี่ปุ่นที่ต้องมา Check-in!
- สวนสนุกในญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมและต้องมา Check-in!
- กระเช้าลอยฟ้าสำหรับชมวิวสวยๆ ในญี่ปุ่นที่ต้องมา Check-in!
- หอคอยและจุดชมวิวบนอาคารสูงในญี่ปุ่นที่ต้องมา Check-in!
- สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาวที่ต้องมา Check-in!
- แหล่งออนเซ็นยอดนิยมในญี่ปุ่น พร้อมวิธีการแช่ออนเซ็นที่ถูกต้อง
แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในญี่ปุ่น
- สถานที่ท่องเที่ยวในโตเกียว (Tokyo) ที่ต้องมา Check-in!
- สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองซัปโปโร (Sapporo) ที่ต้องมา Check-in!
- สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองโอซาก้า (Osaka) ที่ต้องมา Check-in!
- สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองเกียวโต (Kyoto) ที่ต้องมา Check-in!
- สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองนาโกย่า (Nagoya) ที่ต้องมา Check-in!
- สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองฟุกุโอกะ (Fukuoka) ที่ต้องมา Check-in!